EP001 Degrowth Communism
Ep. 01

EP001 Degrowth Communism

Episode description

หนังสือที่นำมาเป็นแกนหลักใน EP นี้คือ《Slow Down: How Degrowth Communism Can Save the Earth》➡️ https://www.goodreads.com/book/show/124040721-slow-down ต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นคือ《人新世の「資本論」》➡️ https://bookmeter.com/books/16481452

Podcast Analysand ที่มีการอ้างถึง

EP - 003 Capitalism In The Web of Life [TH] ➡️ https://podfollow.com/analysand/episode/7b83b1dcddd563245fb4bba4e7f78fd7a6be9d87/view EP - 015 Debt [TH] ➡️ https://podfollow.com/analysand/episode/e07c4065eea54097dfc328380cc330140b56bd6c/view EP - 018 Fully Automated Luxury Communism [TH] ➡️ https://podfollow.com/analysand/episode/f869d055b2e291bb0bcc16da46d2ed563a0de947/view EP - 024 Ecofeminism as Politics [TH] ➡️ https://podfollow.com/analysand/episode/b41f1564d3c0eaa36b37a0a90923031dc234c1c5/view

บทความของบอส《อากาศร้อนคือภัยที่อันตรายที่สุดของภาวะโลกร้อน》➡️ https://t.ly/hSYP_

เพลงประกอบ《ลิ่วล้อ (Sun Rises When Day Breaks)》ของ View From The Bus Tour ➡️ https://viewfromthebustour.bandcamp.com/track/sun-rises-when-day-breaks

หนังสือของโคเฮย์ที่มีแปลเป็นภาษาไทย ณ ขณะที่อัดเสียงคือ《”ทฤษฎีทุน” ของมาร์กซ์》➡️ https://www.chulabook.com/business-economics/213394

ว่าด้วยมโนทัศน์ anthropocene ซึ่งคุณเก่งกิจแปลว่า มนุษยสมัย ส่วนคุณตรงใจ หุตางกูรแปลว่า สมัยมนุษย์ผันผวนโลก โปรดดู ➡️ https://www.the101.world/anthropocene/

ตัวอย่างรายงานของ Lanner ที่ทำเรื่องโรงไฟฟ้าในภาคเหนือ ➡️ https://www.lannernews.com/14062568-02/

สำนวนจีนที่ปฐมพงศ์กล่าวถึงคือ 眼不见为净 (ตาไม่เห็น[ใจ]สะอาด)

บทความดินแดงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปัญหาฝุ่นภาคเหนือ ➡️ https://dindeng.com/power-for-peasants-th/

บทความแปลที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตแบบจักรวรรดิว่าด้วยต้นทุนและการผลิต iPhone ➡️ https://dindeng.com/exploitation-rate/

วีดีโอเกี่ยวกับปัญหากังหันลมในไต้หวันที่ปฐมพงศ์กล่าวถึง (ภาษาจีนกลาง) ➡️ https://youtu.be/rH9pKY_YcW8

หนังสือ《โลกครึ่งใบให้สังคมนิยม》(Half-Earth Socialism) แปลไทยโดยคุณภาคิน นิมมานนรวงศ์ ของสำนักพิมพ์นิสิตสามย่าน ➡️ https://samyanpress.bentoweb.com/en/product/1207697/product-1207697?category_id=98560

เกม Half-Earth Socialism เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจปัญหาสิ่งแวดล้อมและหนทางแก้ไข เล่นได้ฟรีผ่านเว็บบราวเซอร์ ➡️ https://play.half.earth/

เรื่องหลักฐานปริมาณการผลิตโซลาร์เซลล์ในจีนเทียบกับสัดส่วนโลก ยังไม่สามารถหาสถิติแบบเป็นรูปธรรมมาสนับสนุนได้เนื่องจากติดกำแพงค่าสมาชิก ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง ผู้ฟังสามารถพิจารณาสถิติเทียบเคียง ได้จาก Statista ➡️ https://www.statista.com/topics/11028/solar-energy-in-china/ & https://www.statista.com/topics/5386/us-solar-photovoltaics/

ว่าด้วยเศรษฐกิจสงคราม โปรดดูบทความของ Grace Blakeley (ภาษาอังกฤษ) ➡️ https://tribunemag.co.uk/2025/06/the-war-economy/ หรือของโคเฮย์ (ภาษาญี่ปุ่น) ➡️ https://mainichi.jp/articles/20250407/ddm/014/040/018000c

สัดส่วนภาคการเกษตรต่อ GDP ปี 2025 ไตรมาสแรกของไทย ตามรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อยู่ที่ 9.32% ➡️ www.nesdc.go.th/main.php?filename=qgdp_page

เศรษฐกิจแบบโดนัท โปรดดู ➡️ https://doughnuteconomics.org/about-doughnut-economics

รัฐมนตรีที่บินเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะที่อัดเสียง แต่ ณ เวลาที่ปล่อย EP นี้ ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว

กรณีรอยเท้าคาร์บอนสำหรับการเดินทาง โปรดดู ➡️ https://www.bbc.com/news/science-environment-49349566

กรณีเศรษฐกิจพอเพียง ไม่สามารถหาหลักฐานในสมัยนายกทักษิณเรื่องคนรวยจ่ายเยอะได้ แต่มีการกล่าวทำนองนี้ในสมัยรัฐบาลรัฐประหารปี 2007 ว่าด้วย “มีเงินเยอะมีเงินเกินก็ใช้สิ” โปรดดูสำนักงานกปร. ➡️ t.ly/2Wrbc

เรื่องราวสวนผักคนเมืองในเชียงใหม่ โปรดดู ➡️ https://adaymagazine.com/chiang-mai-vegetable-garden/

การปล่อยคาร์บอนที่ลดลงชั่วคราวจากอุบัติการโควิด-19 โปรดดู ➡️ https://www.unep.org/news-and-stories/press-release/covid-19-caused-only-temporary-reduction-carbon-emissions-un-report

รอยเท้าคาร์บอนจากโปรตีนประเภทต่างๆ โปรดดู ➡️ https://ourworldindata.org/grapher/ghg-per-protein-poore

หนังสือของอัล กอร์ ที่ปฐมพงศ์กล่าวถึงคือ《โลกร้อน ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง》➡️ https://www.goodreads.com/book/show/18215529

สิ่งที่ปฐมพงศ์กล่าวว่าเป็น basic communism จริงๆ แล้วศัพท์ที่ถูกต้องคือ everyday communism โปรดดู ➡️ https://davidgraeber.org/articles/communism/

Download transcript (.vtt)
0:04

สวัสดีครับ วันนี้เป็นตอนแรกของพอดแคสต์อันใหม่นะครับ "จักรยานสีแดง" เนาะ

0:11

แล้วก็พ่วงไปกับตัวพอดแคสต์ดินแดงด้วยนะครับ

0:14

เหมือนกับว่ายกระดับดินแดงให้เป็นคล้ายๆ สถานีวิทยุไปด้วย

0:18

อาจจะเละๆ พอสมควร แต่ถ้าสมมติว่าอยากจะฟังแค่ "จักรยานสีแดง" ก็ติดตาม "จักรยานสีแดง" ได้นะครับ

0:24

ทีนี้ต้องแนะนำตัวกันก่อนเนาะ ผม "ปฐมพงศ์" ละกัน

0:29

ถ้ามาจากพอดแคสต์ตัวเดิมที่ชื่อเดิมคือ Analysand ก็จะพอรู้จักเนอะ

0:33

แล้วอีกคนหนึ่งก็คือ

0:35

บอส : "สิทธิชาติ" นะครับ เป็นสหายปฐมพงศ์ครับ

0:38

ปฐมพงศ์ : โอเคครับ ก็คิดว่าพอดแคสต์นี้จะใช้รูปแบบสองคนพูดหลักเนาะ

0:43

อาจจะเชิญแขกรับเชิญมาบ้าง หรือสลับตัวบ้าง ก็ค่อยว่ากันอีกที

0:49

แล้วก็จะค่อนข้างเจาะจงไปเรื่องของสิ่งแวดล้อม

0:53

แล้วก็การเมืองด้านสิ่งแวดล้อมไรงี้ กิจกรรมในทางปฏิบัติ ประมาณนี้นะครับผม

0:58

แต่ว่าประเด็นของตอนแรกก็อยากจะเปิดตัวเป็นเรื่องทางทฤษฎีก่อน

1:02

เป็นเหมือนปูพื้นคร่าวๆ แล้วค่อยเจาะประเด็นไปทีละ episode นะครับผม

1:08

วันนี้ก็เลยอยากจะมาชวนคุยเรื่อง Degrowth Communism เนอะ

1:11

ก็ตื่นเต้นนิดหนึ่งเพราะไม่ได้ทำ(พอดแคสต์)นาน (หัวเราะ)

1:16

คิดว่าน่าจะพูดกระชับกว่าเดิมนิดหนึ่งนะครับ อาจจะประมาณชั่วโมงหนึ่งหรือน้อยกว่านั้น ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว

1:22

ตอนนั้นพูดเป็นสองชั่วโมงก็มีเนอะ

1:22

บอส : ถึง

1:25

ใช่มะ เออ คราวนี้ก็จะพูดสักชั่วโมงหนึ่ง

1:28

เราต้องแนะนำก่อนว่าประเด็นต่างๆ เราเบสจากหนังสือนิดหนึ่ง

1:34

แต่ว่าไม่ได้จำกัดแค่หนังสือ เผื่อเป็นแกนว่าหัวข้อมันอยู่ในกลุ่มประมาณนี้

1:39

เบสมาจากหนังสือที่คิดว่าน่าจะแปลในอีกไม่นาน ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่เห็นอยู่ในโครงการของ bookscape แล้ว

1:45

สำนักพิมพ์ bookscape เราโฆษณาให้เลย ไม่ได้ตังค์อะไรนะ

1:49

เป็นเรื่อง Slow Down: Degrowth Manifesto เป็นชื่อของฝั่งอเมริกาเนาะ

1:55

ของฝั่งอังกฤษเขาใช้ Degrowth Communism Can Save the Earth ก็แล้วแต่

2:00

มาจากภาษาญี่ปุ่น แต่แปลไทยเลยแล้วกัน เดี๋ยวออกเสียงภาษาญี่ปุ่นไม่ตรงแล้วมีคนบ่น

2:07

แปลไทยประมาณว่า "ว่าด้วยทุนในยุคสมัยของมนุษย์" นะครับ Anthropocene

2:11

เป็นหนังสือที่เขียนให้คนทั่วไปอ่าน เป็น popularized version ของทฤษฎีของคนเขียน

2:17

แล้วก็(หนังสือ)ขายได้ช่วงโควิดพอดี เป็นช่วงวิกฤติการณ์โลกพอดี

2:23

แล้วเขาเขียนหนังสือนี้ออกมาเรื่องว่าด้วยทุนแห่งยุคสมัยเนี่ยเนาะ

2:28

ขายไปได้ประมาณครึ่งล้านเล่มในญี่ปุ่น แล้วก็เป็นเรื่องที่ตกใจมาก

2:32

ตีพิมพ์ในญี่ปุ่นมานานหลายปีแล้ว เพิ่งได้แปลเป็นภาษาอังกฤษเมื่อปีที่แล้วเนาะ

2:37

ผมเองมีช่วงหนึ่งที่อ่านภาษาจีน เพราะช่วงนั้นกำลังเรียนภาษาจีน

2:42

ภาษาจีนเขาแปลจากภาษาญี่ปุ่นเร็วมาก แล้วแปลทั้งฝั่งจีนกับไต้หวันเลย

2:47

ฝั่งเอเชียตะวันออกเขาคึกคักกันมานานละ ส่วนฝั่งอังกฤษเพิ่งได้แปล

2:53

ก็น่าเสียดายนิดหนึ่งว่ามันไม่ใช่หนังสือวิชาการจ๋า

2:56

แต่เหมือน bookscape เขาแปลมาจากภาษาอังกฤษ

2:59

ก็เลยอาจจะช้านิดหนึ่ง คงไม่เป็นไรหรอก มีให้อ่านก็ดีแล้ว (หัวเราะ)

3:03

บอส : คนเขียนแบ็คกราวด์เป็นยังไงนะ

3:06

ปฐมพงศ์ : คนเขียนคือไซโต โคเฮย์ เป็นคนญี่ปุ่นที่ตอนแรกสนใจเรื่องมาร์กซิสม์อยู่แล้ว

3:12

วงการมาร์กซิสม์ในญี่ปุ่น ถ้าพูดแบบหยาบๆ ในไทยก็คือลัทธิมาร์กซ์อะนะ

3:19

มันไม่ได้เสื่อม ไม่ได้อยู่ในวงที่เป็นปรัชญาจ๋าขนาดนั้นด้วย

3:25

ในญี่ปุ่นเขาเรียนในวิชาเศรษฐศาสตร์ด้วย เขาก็สอนเศรษฐศาสตร์มาร์กซ์ด้วย

3:30

เหมือนกับว่าพวกมาร์กซิสต์ในญี่ปุ่นยึดครองด้านเศรษฐศาสตร์อยู่แล้ว

3:33

ทีนี้โคเฮย์ได้ทุนไปเรียนต่อที่เยอรมันเลย เหมือนกับว่าอยากจะอ่านต้นฉบับไรงี้

3:41

แล้วก็จบปริญญาเอกจากเยอรมัน เขียนวิทยานิพนธ์เรื่องมาร์กซ์

3:45

แล้วก็เหมือนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด

3:49

ไซโตเนี่ยตอนแรกสนใจมาร์กซ์เป็นหลักใช่มะ แล้วพอมีปรากฏการณ์เกรตา ธุนเบิร์ก (Greta Thunberg)

3:55

บอส : อ๋อ สักปี 2019 นู่นเนอะ

3:55

ปฐมพงศ์ : ใช่ๆ

3:58

ตั้งแต่ช่วงนั้นเลย แกก็เป็นคนรุ่นเรา อายุประมาณสามสิบกว่า ไซโตตอนนี้อายุ 36 เนอะ

4:04

ก็คือเหมือนเติบโตมาทางด้านทฤษฎีฝ่ายซ้าย แต่ว่ามาเจอกับปรากฏการณ์สิ่งแวดล้อม ปรากฏการณ์ทางสีเขียวต่างๆ

4:11

โดยเฉพาะเกรตานี่เหมือนกับเป็นแรงบันดาลใจของเขา ว่าเด็กประมาณนี้มาพูดอย่างงี้

4:18

ก็เลยคิดถึงด้านสิ่งแวดล้อม แล้วในทางทฤษฎีเขาจะพยายามเอาด้านเขียวกับด้านแดงมารวมกันให้ได้

4:27

ก็เลยเป็นธีสิสของเขา เรื่องโปรเจ็คต์ของมาร์กซ์ยังไม่จบ เรื่องของมาร์กซ์และสิ่งแวดล้อม

4:33

ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็คือพยายามชูธงความคิดเรื่อง Degrowth Communism

4:40

Degrowth นี่มาจากฝั่งสิ่งแวดล้อมเนอะ แล้ว communism ก็มาจากฝั่งมาร์กซิสม์

4:48

บอส : หนังสือเล่มที่เราจะใช้เป็นแกนชื่อ Slow Down

4:51

ปฐมพงศ์ : ใช่ Slow Down

4:51

บอส : คือเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น ออกมาช่วงโควิดใช่ไหม

4:55

บอส : ซึ่งขายดีมาก

4:55

ปฐมพงศ์ : ขายดีมากประมาณครึ่งล้านเล่ม

4:58

(หัวเราะ)

4:59

บอส : แปลกใจเนอะ เพราะเหมือนสังคมญี่ปุ่นไม่ค่อยมีพื้นที่ฝ่ายซ้ายไหม

5:03

ปฐมพงศ์ : ใช่ๆๆๆ

5:03

บอส : เหมือนคนนอกมองเข้าไปแล้วเห็นญี่ปุ่นเขาชื่นชมทุนนิยมจ๋าเลยเนอะ

5:08

ปฐมพงศ์ : แล้วก็เป็นอะไรที่แปลกอย่างหนึ่ง

5:10

เพราะว่าญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจที่จริงๆ ก็สโลว์ดาวน์อยู่แล้ว หมายถึงว่ามัน regression (หัวเราะ)

5:16

บอส : ใช่ๆ ด้วยโครงสร้างประชากรอะไรพวกนี้ด้วยเนอะ

5:19

ปฐมพงศ์ : แต่ว่า อันนี้ตลกหน่อยนะ คือพอดูชื่อหนังสือในภาษาญี่ปุ่นนะ มันจะเป็นชื่อแบบ

5:24

ถ้าคุณอ่านหนังสือพวกฮาวทูต่างๆ มันจะบอกว่า 10 วิธีทำนู่น ทำนี่ ทำนั่นอะไรใช่มะ

5:31

คือจะต้องมีเลขแล้วก็ต้องมีคำต่ออะไรเงี้ย

5:34

อันนี้ก็คือเขียนเป็นแพทเทิร์นนั้นเลยว่า ว่าด้วยทุนแห่งยุคสมัย ทางเลือกที่ 4 ทางรอดแห่งมนุษยชาติ อะไรประมาณนี้

5:40

คือชื่อเหมือนหนังสือปอปปูลาร์เลย

5:43

บอส : มีฉากทัศน์ขึ้นมาแล้วก็เปรียบเทียบกัน

5:46

เหมือนเป็นหนังสือฮาวทูนิดหนึ่งเนอะ (หัวเราะ) มีความเป็นฮาวทูว่าถ้าจะเอาตัวรอดต้องทำยังไง

5:53

ปฐมพงศ์ : ในแง่หนึ่งเขาก็คิดไว้แล้ว เป็นโปรเจ็คต์ทางการเมือง

5:57

จริงๆ ตอนเขียนธีสิสเขาก็เขียนธีสิสแล้วอธิบายอันนี้ต่อจากธีสิส

6:03

มันมีความลำบากนิดหนึ่งถ้าคุณจะตามงานโคเฮย์

6:06

พอเป็นคนญี่ปุ่น ไม่ใช่คนฝั่งตะวันตก เขาก็จะเขียนภาษาอังกฤษบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง

6:12

แปลเป็นภาษาอังกฤษบ้างญี่ปุ่นบ้าง ซึ่งทำให้เส้นทางความคิดของเขามันต้องตามไปด้วย

6:18

แต่ยังไงก็ตามเราไม่ได้จะโฟกัสที่ตัวเขาเป็นหลัก แค่แนะนำเฉยๆ ว่าเป็นแนวความคิดที่น่าสนใจ

6:24

แล้วจริงๆ ผมก็ลองหาดูในไทย กลุ่ม NGO ต่างๆ เขาก็พูดเรื่อง degrowth กันมาพอสมควรแล้ว

6:30

แต่วันนี้เราจะมาเน้นเรื่อง Degrowth Communism เนาะ ว่ามันไม่ใช่แค่ degrowth อย่างเดียว

6:36

แล้วก็ไม่ใช่ communism แบบที่ผมเคยพูดไว้ใน Analysand เดี๋ยวค่อยแปะลิงค์ไว้

6:40

communism แบบ Fully Automated Luxury Communism ที่เคยพูดไว้ในตอนนึง

6:45

วันนี้เราก็จะมาแหกที่เคยพูดไว้ด้วยเหมือนกัน

6:50

เหมือนผมจะพูดเยอะหน่อยนะ ต้องขออภัย เพราะว่าบางทีตื่นเต้นแล้วก็พูดเยอะ

6:55

ก็ถ้ามีอะไรเดี๋ยวบอสก็คอยแจม คอยถาม คอยแทรก ตามสบาย

7:00

จริงๆ อาจจะเริ่มด้วยการถามเองตอบเอง หรือบอสอยากจะตอบอะไรไหม

7:05

บอส : ว่าทำไมถึงพูดเรื่องนี้เหรอ

7:05

ปฐมพงศ์ : เออๆ ลองไหม

7:08

บอส : จริงๆ ส่วนตัวตอนปฐมพงศ์แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่าน

7:12

รู้สึกน่าสนใจดี คือแต่ก่อนก็อ่านเรื่อง degrowth มาบ้าง

7:15

เป็นเชิงบทความ ไม่ได้เป็นหนังสือเล่มขนาดนี้

7:18

หรือว่าพวก Ecofeminism อะไรพวกนี้ก็เคยอ่านคอนเซ็ปต์มาบ้าง

7:21

คือมันก็จะมีหลากหลายคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับว่าเราจะผ่านพ้นวิกฤติสิ่งแวดล้อมนี้ไปได้ยังไง

7:27

ส่วนตัวติดตามประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แล้วก็ทำงานที่คาบเกี่ยวระหว่าง เรื่องสิ่งแวดล้อมกับเรื่องธุรกิจ

7:35

มันก็จะมีคำถามที่ตกค้างอยู่ระหว่างประสบการณ์สิบกว่าปีที่ผ่านมา

7:39

ว่าทำแบบนี้มันจะรอดเหรอ หรืออะไรอย่างงี้เนอะ

7:43

แต่พอมาอ่าน Slow Down ก็รู้สึกว่า เขามีคำตอบที่น่าสนใจหลายๆ อันกับคำถามที่เราเก็บไว้ในใจมานาน

7:50

หลักๆ เลยคือเรารู้สึกว่ายุคนี้ โดยเฉพาะ 5-6 ปีที่ผ่านมา ด้วยกระแสสิ่งแวดล้อม ด้วยอะไรพวกนี้ เสียงมันดังขึ้นเนอะ

7:59

แล้วก็มีเรื่องเศรษฐกิจอีกใช่ไหม

8:02

คือทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยก็จะรู้สึกว่าเศรษฐกิจเราไม่ดีมานานแล้ว

8:06

ยิ่งปีหลังๆ มีแต่ข่าวลบๆ ออกมาใช่ไหม ซึ่งตอนแรกก็นึกว่าเป็นแค่ที่ไทยหรือเปล่า

8:13

แต่พอมาดูภาพรวมมันก็เป็นทั้งโลก ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม

8:16

มีแต่คนบ่นว่าค่าครองชีพแพง เรื่องคุณภาพชีวิตตกลง

8:22

แต่ในขณะเดียวกันเราก็ได้ข่าวว่าเทคโนโลยีพัฒนามาเยอะแยะนู่นนี่นั่น

8:28

เรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลผลิตมากขึ้น

8:30

แต่ว่าพอมาดูเทรนด์ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ทำไมมันมีแต่ข่าวร้ายวะ

8:36

ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่าเรื่อง Degrowth Communism เนี่ย มันเป็นสิ่งที่น่าจะต้องพูดถึงกัน

8:42

เพราะว่าในบทสนทนากระแสหลักน่ะ

8:46

กระแสหลักในที่นี้คือหมายถึงเรื่องที่เราเคยได้ยินมาแต่เด็กเนอะ

8:49

ที่เราเรียนในมหาลัย ในโรงเรียน อะไรก็ตาม

8:52

เรื่องที่ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเนี่ย มันเหมือนจะเป็นเรื่องดี ที่คนไม่ต้องตั้งคำถามอะไร

8:59

สมมติเราฟังข่าวเป็นภาษาบ้านๆ เลย ได้ยินพาดหัวว่าเศรษฐกิจประเทศไทยคาดว่าจะโต 10% 5%

9:08

ทุกคนก็จะพอบอกได้ว่า เฮ้ย นี่มันข่าวดีนี่นา

9:11

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บอกว่า ประเทศไทยโต

9:13

ยังโตนะ แต่สมมติว่าโต 1% ทุกคนก็รู้สึกว่านี่มันข่าวเริ่มร้ายหรือเปล่า

9:18

หรือว่าถ้าเศรษฐกิจไทยหด อันนี้ข่าวร้ายแน่นอน ใช่มะ

9:21

คือคนมันมีชุดมาตรฐานอยู่ในหัวกันแล้ว

9:24

แล้วก็อาจจะไม่ได้ตั้งคำถามอะไร เพราะว่ามันก็อยู่ในวัฒนธรรม ในบทสนทนาที่เราได้ยินกันมาเรื่อยๆ

9:31

แต่ทีนี้ปัญหาคือทั่วโลกมันก็คิดกันอย่างนี้ หมายถึงว่าเศรษฐกิจมันต้องโตๆ

9:36

แล้วพอเราอยู่ในวงที่ทำเรื่องความยั่งยืนหรืออะไรพวกนี้ เราก็จะได้ยินบ่อยๆ ว่า

9:43

ในวงความยั่งยืน ในด้านหนึ่งเขาก็จะพูดว่าสิ่งแวดล้อมกำลังจะวิกฤติแล้ว climate change กำลังจะมา ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง

9:53

แต่ในอีกแง่เราก็จะได้ยินบ่อยๆ ว่า เฮ้ย เราจะคว้าโอกาสนี้ยังไง

9:59

เราจะทำให้เศรษฐกิจโตพร้อมกับแก้ปัญหาวิกฤติสิ่งแวดล้อมพวกนี้ได้ยังไง

10:05

พอคนที่อยู่ข้างนอกได้ยินคำนี้บ่อยๆ ก็รู้สึกว่ามันน่าจะเป็น win-win ใช่ไหม

10:10

แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วย แล้วก็แก้ปัญหาวิกฤติสิ่งแวดล้อม หรือวิกฤติคุณภาพชีวิตของคนไรงี้

10:15

แต่พอเราทำงานอยู่ข้างใน เราเห็นข้อมูลอะไรพวกนี้

10:19

เมื่อเทียบข้อมูลเรื่องความก้าวหน้ากับข้อมูลวิทยาศาสตร์ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง

10:23

เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤติตรงนี้จริงๆ ปรากฏว่าการกระทำกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มันไม่แมทช์กันเลย

10:30

การกระทำเรา action ที่แต่ละคนทำ ไม่ว่าประเทศไหนก็ตามกำลังทำ

10:34

มันไม่ถึงเกณฑ์ที่จะทำให้เราหลีกพ้นวิกฤติหรือหายนะทางสิ่งแวดล้อม

10:38

มันก็เลยมีคำถามว่า แล้วถ้าทุกคนทำตามเกม ทำตามกฎทางเศรษฐกิจ ณ ตอนนี้

10:44

เหมือนว่ามันจะไม่พาเราไปถึงเป้า

10:47

นี่อาจจะเป็นคำตอบของเรานิดหนึ่งว่ามันมีอะไรที่ผิดพลาดเกี่ยวกับชุดความเชื่อดั้งเดิมหรือเปล่า

10:54

อย่างที่พูดเรื่อง GDP เมื่อกี้ เราอาจจะต้องลองย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตรงนั้น

10:59

ปฐมพงศ์ : ส่วนตัวเรานี่จะขอตอบคำถามที่ถามเองด้วย

11:03

จริงๆ ที่ไปเจอเล่มนี้นี่ นอกจากความบังเอิญแล้ว

11:08

ยังเป็นเอิร์น จากสมัย Ecofeminism ใน Analysand เป็นคนแนะนำโคเฮย์ให้ผมเหมือนกัน

11:15

แต่ว่าไม่ได้อ่านสักที เพราะรู้สึกว่า โอเค ก็ดี Eco-Marxism

11:20

Green ทั้งแดงและเขียวต่างๆ ก็โอเค degrowth ต่างๆ

11:25

แต่คือไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ด่วนอะไร ในตอนนั้นนะ ตอนแต่ก่อน ก่อนที่จะมาอ่านเล่มนี้

11:30

จริงๆ ก็อ่านงานของบอสนี่แหละ เพราะว่าปัญหาเรื่องโลกร้อนเนี่ย

11:35

ถ้าเราจะพูดมันจะมีปัญหาเรื่องน้ำท่วม ปัญหาวิกฤติต่างๆ ทั้งพายุ ทั้งอะไรต่างๆ มากมาย คือผลกระทบอื่นๆ น่ะ

11:43

แล้วบอสเขียนเรื่องปัญหาเรื่องโลกร้อน ปัญหาหลักอันหนึ่งที่เราต้องพูดด้วยก็คือเรื่องความร้อนเนี่ยแหละ

11:52

ช่วงนั้นใช้มอเตอร์ไซค์ แล้วพอขับกลับบ้านหลังเลิกงานก็คือร้อน ร้อนจัดเลย

11:58

แล้วตอนปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดที่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์โลกเนอะ

12:04

ตอนนั้นก็รู้สึกว่า ไม่ไหวแล้วว่ะ กูต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

12:07

ขออภัย คำหยาบ

12:10

คือพอรู้สึกอย่างนั้นก็มาดูสายเขียวมากขึ้น เพราะปกติผมก็จะเน้นทางซ้าย

12:14

รู้สึกว่าคำทางซ้ายๆ น่าจะตอบโจทย์ได้พอสมควร

12:18

แต่ว่าลองเปิดใจอ่านพวกเขียวๆ ดูบ้าง

12:21

พออ่านเขียวๆ แล้วสุดท้ายก็ติดว่าต้องอ่านซ้ายด้วย

12:24

พออ่านไปก็เห็นด้วยว่าปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องมลภาวะ เรื่องอะไรที่เราเจอ

12:31

เราคือผม และคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งก็คือเชียงใหม่เนี่ย

12:34

มันเป็นที่ที่โดนผลกระทบโดยตรงพอสมควรจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ

12:39

ซึ่งเราก็ต่างรู้ดีเนอะ เรื่องเกษตรพันธสัญญา เรื่องอุตสาหกรรมไอที อุุตสาหกรรมเอไอ ที่มันมีเหมืองแร่

12:47

แม่น้ำกกอะไรต่างๆ อะ เดี๋ยวค่อยเจาะลึกลงไปอีกที

12:52

แต่ว่ามันเป็นผลกระทบโดยตรงของการเติบโตต่อที่ที่เราอยู่

12:56

มีความพิเศษเนอะ เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ก็เป็นชายขอบด้วย

13:02

เป็นถิ่นที่พิเศษพอสมควร ไม่เหมือนกับกรุงเทพหรืออะไรประมาณนั้น

13:07

ทำให้เราเหมือนรับผลกระทบทั้งสองอย่าง

13:10

แล้วเราก็รู้สึกว่าอันนี้แหละ ตรงนี้แหละ degrowth มันน่าจะตอบโจทย์

13:15

แล้วก็ไม่ใช่ degrowth ธรรมดาอย่างเดียว มันเป็นเรื่อง Degrowth Communism

13:19

ผมคิดว่าหลักๆ ของคน ณ เชียงใหม่ ไม่ใช่นามสกุล ณ เชียงใหม่นะ (หัวเราะ) แต่คือคนที่อยู่เชียงใหม่เนี่ย

13:28

เราโดนไอ้พวกนี้เต็มๆ เนาะ มันทำให้เรากลับมาคิดถึงเรื่องพวกนี้

13:33

เพราะว่าผมคิดว่าเราไม่สามารถคิดง่ายๆ ว่าถ้ามีฝุ่นก็ดับไฟ ตัดไฟ

13:39

แต่ประเด็นปัญหาคือทำไมต้องมีไฟตั้งแต่แรก นึกออกไหม

13:42

พอคิดแบบเป็นระบบว่าทำไมต้องมีไฟแต่แรก ทำไมมันต้องมีเกษตรพันธสัญญาตั้งแต่แรก

13:49

เราก็ต้องหาทางถอนปมนั้นให้ได้ แล้วทีนี้มันก็เป็นปมที่ยุ่งเหยิงพอสมควร มันไม่ใช่ปมง่ายๆ

13:57

มันก็เลยมาถึงจุดที่ว่าเล่มนี้มันให้คำตอบอะไรหลายๆ อย่างได้ ประมาณนั้น

14:03

บอส : ถ้าเราจะต้องลงทีละประเด็นมันจะใช้หลาย episode แต่ตอนแรกเราก็คงพูดประมาณนี้ก่อน

14:09

ว่ามันมีวิกฤติพวกนี้แหละที่เราทุกคนก็มีประสบการณ์มากน้อย

14:13

แล้วก็มันน่าจะชวนให้ตั้งคำถามว่าเราคิดอะไรผิดตั้งแต่ฐานรากหรือเปล่านะ

14:19

นั่นแหละ มันก็เลยมาถึงจุด Degrowth Communism เนาะ

14:24

แล้วประเด็นคือว่ามันมีคำแปลหลายอย่าง ผมไปสำรวจดูคนที่พยายามแปล เพราะมันยังไม่มีคำแปลมาตรฐานทั่วไปในภาษาไทย

14:32

ว่า degrowth จะแปลว่าอะไร communism ไม่ต้องแปลแล้ว ก็แปลว่าคอมมิวนิสม์อะนะ

14:36

เราใช้คำทับศัพท์ไปเลย ซึ่งมันก็ดีอีกแบบหนึ่ง

14:40

คือทุกคนก็รู้ ในประเทศไทยแทบไม่มีใครไม่รู้จักคอมมิวนิสม์

14:43

แต่ว่าจะเป็นภาพแบบไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง

14:45

แต่ว่า degrowth เนี่ยบางคนก็พยายามแปล ส่วนตัวผมใช้คำว่า เลิกโต

14:50

แต่ว่าถ้ามีทางเลือกก็จะแปลว่าชะลอการเติบโต ลดความเจริญ ชะลอความเจริญ อะไรต่างๆ

14:58

แต่จริงๆ ถ้าในวงวิชาการมันจะเหมือนคำว่า Deconstruction

15:02

ก็เหมือนกับรื้อสร้าง จริงๆ ใช้คำว่ารื้อโตก็ได้

15:05

เพราะจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องของการชะลอการเติบโตนะ สำหรับผมน่ะ

15:08

ไม่ใช่เรื่องของการลดการเติบโตอะไรต่างๆ

15:11

แต่คำว่า de ในที่นี้ อย่างน้อยก็ในความคิดโคเฮย์ มันคือเรื่องการเอาคอนเซ็ปต์ของการโตออกไป

15:19

บอส : คือไม่ใช่แค่มาหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ลดแค่นั้น แต่มันคือการเปลี่ยนแนวคิด

15:25

ปฐมพงศ์ : ใช่ มันไมใช่แค่ regression อย่างเดียว

15:25

บอส : ไม่ใช่มาเหยียบเบรคแค่นั้น

15:30

ปฐมพงศ์ : เพราะงั้นผมถึงรู้สึกว่าในภาษาอังกฤษที่แปลว่า Slow down มัน mislead สำหรับผม

15:35

บอส : เออ มันดูฟังแล้วแบบ โอเค เรามาชิลล์ๆ เราไม่ต้องทำอะไรมาก แต่จริงๆ เราต้องทำอะไรเยอะ (หัวเราะ)

15:44

ปฐมพงศ์ : ใช่ๆ จริงๆ มันต้องเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง

15:46

แล้วจริงๆ ผมคิดว่ามันไม่ได้ค้านแนวคิดของคอมมิวนิสม์เดิม เพียงแต่มันพยายามเน้นว่าตอนนี้เป็นช่วงวิกฤติละ

15:53

หรือถ้าจะเป็นงานใหม่ของเขาซึ่งยังไม่ออกเนี่ย เขากำลังทำเรื่อง War communism

15:58

เรื่องคอมมิวนิสม์ยามสงครามอะไรต่างๆ ว่าช่วงนี้มันไม่ใช่ emancipation การปลดปล่อยละ

16:04

แต่เป็นโปรเจ็คต์ของการปรับตัว adaptation

16:06

เพราะว่าเรามาถึงจุดปลายสุดที่เราไม่สามารถทำอย่างนี้ต่อไปได้อีกแล้ว

16:13

คือ apocalypse อะไรประมาณนั้น

16:15

ก็เลยนั่นแหละ

16:17

ทีนี้ก็ต้องอธิบายก่อนว่าปัญหาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจยุคปัจจุบันคืออะไร

16:23

ใช่แมะ

16:23

บอส : ใช่

16:25

ปฐมพงศ์ : ผมว่า คุณบอสนะ ผมขอเรียกชื่อเล่นแล้วกัน

16:25

บอส : อ่าๆ ได้ๆ (หัวเราะ)

16:30

ปฐมพงศ์ : เพราะว่าพูดตรงๆ คือจำชื่อจริงไม่ได้

16:32

บอส : เออๆ ชื่อเล่นก็ได้ครับ

16:34

ปฐมพงศ์ : คุณบอสน่าจะสนใจเรื่องนี้ไหม เรื่อง imperial mode of living

16:38

บอส : ใช่ๆ

16:38

ปฐมพงศ์ : หรือที่แปลภาษาไทยแบบหยาบๆ ว่าวิถีชีวิตแบบจักรวรรดิอะเนอะ

16:44

บอส : จริงๆ อันนี้เป็นคำที่รู้สึกว่าเป็นคีย์เวิร์ดในหนังสือของโคเฮย์เล่ม Slow Down

16:50

คือเขาก็เหมือนนิยามคำนี้ขึ้นมาก่อน ก็คือ imperial mode of living

16:55

คือเป็นวิถีชีวิตที่ เราพูดถึงในแง่คนเมืองแล้วกัน

17:00

ก็คือเป็นความเจริญ เราพูดงี้แล้วกัน มันคือสิ่งที่ทุกคนรู้สึกว่าเป็นความเจริญใช่แมะ

17:05

การมีรถขับ มีบ้านเดี่ยวอยู่ชานเมือง ครอบครัวพ่อแม่ลูก อะไรพวกนี้เนอะ

17:11

สามารถเข้าถึงบริการทางสังคมได้

17:15

พูดง่ายๆ คือเน้นการบริโภค

17:18

อย่างเช่น สามารถซื้อเสื้อผ้าใหม่ตามแฟชั่นที่ออกทุกๆ ไตรมาสอะไรงี้

17:24

หรือว่าการที่เราสามารถมีพลังงานใช้ได้ทุกเมื่อตลอดเวลา

17:28

หรือว่าการที่เรามีอิสรภาพในการซื้อตั๋วเครื่องบิน บินไปเที่ยวต่างประเทศ

17:33

ปีละ 10-20 ครั้งก็ว่ากันไป ถ้าเกิดคุณมีเงินนะ

17:37

หรือว่าจริงๆ มันก็คือความรู้สึกสะดวกสบาย การบริโภคที่จริงๆ เราชินไปแล้วล่ะ สำหรับคนในเมืองที่อาจจะอยู่กรุงเทพอย่างงี้

17:47

แต่ไอ้คำนี้ โคเฮย์เขาก็นิยามง่ายๆ เลยนะว่า

17:52

มันก็คือรูปแบบการใช้ชีวิตที่ผลกระทบของการผลิตสินค้า/บริการพวกนี้ถูกซ่อนไว้ หรือถูกย้ายออกไปจากตำแหน่งที่เกิดการบริโภค

18:01

ก็คือคนในเมืองบริโภคโดยที่ไม่รู้ว่าสินค้า/บริการที่เราบริโภคเนี่ยมาจากไหน

18:07

ใช่แมะ จริงๆ เราไม่รู้ เราไม่มีข้อมูลพวกนั้น กระเป๋าที่เราซื้อ รองเท้าที่เราใช้เนี่ย มันมาจากที่ไหน

18:13

อาจจะมีแท็กเขียนว่ามาจากบังกลาเทศ แต่เราก็ไม่รู้สภาพว่ารองเท้าที่ผลิตที่บังกลาเทศเนี่ย

18:19

มันผลิตโดยคนกลุ่มไหน โรงงานสภาพเป็นยังไง ค่าจ้างเท่าไหร่

18:25

เนี่ยคือเรามองไม่เห็น นี่คือลักษณะหนึ่ง

18:29

แล้วก็ไอ้ imperial mode of living เนี่ย โครงสร้างที่สำคัญมากที่ทำให้เราเห็นภาพเนี่ย

18:34

ก็คือจะมีแกนกลาง เขาเรียกว่า core กับรอบนอก periphery

18:40

ลักษณะก็คือว่าแกนกลางจะดูดทรัพยากรเข้ามาจากรอบนอก

18:47

การผลิตส่วนใหญ่จะเกิดที่รอบนอก

18:50

เหมือนนึกภาพแบบกรุงเทพหรือเมืองใหญ่ แม้แต่เชียงใหม่เองเนี่ย

18:53

มันไม่มีที่ผลิตอาหาร ไม่มีโรงไฟฟ้าตั้งอยู่

18:56

คนที่บริโภคในเมืองก็จะไม่รู้หรอกว่าโรงไฟฟ้ามันสร้างผลเสียยังไง

19:01

การผลิตอาหารมันทำลายความหลากหลายทางชีวภาพยังไง

19:04

หรือเราไม่แคร์ด้วยซ้ำ เพราะว่าข้อมูลพวกนี้มันไม่ได้ถูกแปะมาบนฉลากหรืออยู่ในสื่อ

19:09

เราก็จะรู้สึกว่าที่เราบริโภคไปมันไม่ได้มีอะไร เราแค่จ่ายเงินเพื่อแลกบริการ จบ

19:15

นั่นแหละ คิดว่าอันนี้เป็นคอนเซ็ปต์ที่สำคัญมากเลย เรื่อง imperial mode of living

19:20

ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่าพออ่านคำนี้ก็เริ่มมาตั้งคำถามกับวิถีชีวิตตัวเองบางส่วนเหมือนกัน

19:25

เราเหมือนมีบางส่วนน่ะ คือไม่ได้บอกว่าทุกคนที่มีวิถีชีวิตแบบนี้ัมันผิดนะ

19:30

เพราะว่าจริงๆ มันเป็นเรื่องความไม่สมมาตรของข้อมูลด้วย

19:33

เห็นไหมว่าผู้ผลิตหรือนายทุนที่ผลิตสินค้าและบริการก็จงใจไม่ได้เปิดเผยข้อมูลตรงนี้ให้คนที่บริโภครู้

19:40

ก็คือพอได้เรียนคำนี้ก็เลยรู้สึกว่ามันมีบางส่วนในชีวิตเราที่มันซ้อนทับกับตรงนั้นหรือเปล่า

19:47

อันนี้เป็นคอนเซ็ปต์ที่โคเฮย์ก็จะขยายต่อว่าไอ้ imperial mode of living เนี่ย

19:51

การที่มีแกนกลางกับรอบนอกมันเกิดขึ้นได้ยังไง

19:58

ปฐมพงศ์ : ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนการสรุปคอนเซ็ปต์เรื่องการขยายตัวของ outsourcing ได้ดีมาก

20:07

ประเด็นก็คือรูปแบบการ outsource เนาะ

20:11

outsource จริงๆ เป็นคำที่คนไทยน่าจะรู้แล้วเนาะ ก็คือหมายถึงสัญญาจ้างชั่วคราว สัญญาจ้างที่มันผลักออกไป

20:18

ผมยกตัวอย่างอันหนึ่ง พอดีผมทำงานอยู่ ที่ทำงานก็จะมียาม

20:23

แล้วบางที ไม่ใช่บางทีหรอก ก็ทุกทีอะนะ ก็สนิทกับยาม

20:26

คุยกับยามบ้างอะไรบ้าง

20:28

สักพักยามก็จะเปลี่ยนคน เปลี่ยนคน เปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ

20:31

เพราะว่าเขาถูกหมุนเวียนไป สัญญาจ้างเขาไม่ใช่สัญญาจ้างของที่ทำงานกับยาม

20:37

แต่เป็นสัญญาจ้างที่ทำงานกับบริษัทที่ไปจ้างยาม

20:39

แล้วบริษัทก็จ้างเป็น subcontract แล้วก็ใช้ระบบหมุนเวียนๆๆ

20:43

ซึ่่งมันทำให้เหมือนว่าเราไม่สามารถสร้าง bonding ได้ชัดเจน

20:47

อันนี้เป็นเหมือนความจงใจของรูปแบบที่ทำให้การผลิตในลักษณะที่ทำให้เราอยู่ใน imperial of living มันอยู่ได้

20:55

เพราะว่าเราต้องถูกปิดหูปิดตาตลอดกับสภาพการผลิตที่เกิดการผลิตจริง

21:01

แล้วคนที่รับผลกระทบต้องถูกผลักออกไปหรือหมุนออกไปเรื่อยๆ ให้ห่างจากเรามากที่สุด

21:06

เพื่อให้คนที่อยู่แกนกลางของจักรวรรดิพออยู่ได้โดยไม่ลำบากทางศีลธรรมขนาดนั้น คือไม่รู้น่ะ

21:13

ภาษาจีนมีสำนวนว่าถ้าไม่เห็นก็ใจสะอาดไรงี้ ก็คือประมาณนั้น

21:20

ทำให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้น ภาระทางจิตใจก็ผ่อนคลายลง

21:23

เพราะว่าพวกนี้ ผมยกตัวอย่างอย่างเป็นรูปธรรมก็คือตอนผมเรียน

21:28

อาจารย์ก็เป็นผู้บริหารของสถานที่ที่ผมเรียน

21:32

แล้วเขาก็บอกว่า ตอนนี้เราไม่มีการจ้างแบบเดิมอีกแล้ว

21:36

หมายถึงว่าการจ้างพนักงานทำความสะอาดโดยตรง

21:41

เพราะว่าอะไร เพราะว่าเราคุมไม่ได้ เพราะเราเจอคนกับคน เราบอกเขา เราไปทำอะไรเขา เราจัดการเขาไม่ได้

21:48

เพราะฉะนั้นก็เลยตัดปัญหาด้วยการจ้างแบบ outsource ให้บริษัทมาทำ

21:53

คือคุณผลักภาระของความโหดร้ายออกไป ให้บริษัทที่เหมือนรับผิดชอบด้านความโหดร้ายนั้น คุณก็เห็นแค่ความสะอาด

22:00

ความสะอาดของสถานศึกษา ของโรงพยาบาล ของอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่

22:04

เพราะฉะนั้นปรากฏการณ์เหล่านี้มันถูกขยายออกมาให้อยู่ในทุกอณูของชีวิตแล้ว

22:09

สำหรับผม imperial mode of living เป็นเรื่องแบบนี้แหละ

22:13

เป็นเรื่องของการผลักออกไป ผลักออกไป ผลักออกไปที่สุด

22:16

เพื่อให้คนที่อยู่ ณ แกนกลางสบายใจ เพื่อให้ดำรงชีวิตแบบไม่ต้องรับรู้ต่อไป มองไม่เห็น

22:23

ลึกๆ แล้วเราก็รู้แต่ทำเป็นไม่รู้ ผมว่านะ

22:28

ลึกๆ เราก็พอเข้าใจ แต่ว่ามันถูกปิดด้วย แล้วตัวเองก็รับไม่ได้อะ

22:32

คือถ้าคุณรู้สภาวะต่างๆ มันก็จะรู้สึกรับไม่ได้ มันก็ต้องมีการแก้ปมทางจิตใจแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน

22:39

ยกตัวอย่างอีกอย่าง เรื่องอาหารการกินนี่แหละ

22:44

เราก็กินๆๆ เราก็อาจจะไม่รู้จริงๆ ก็ได้ว่ามันมาจากไหน

22:49

แต่ว่ามันก็มีส่วนกับการเผาป่า เรื่อง PM 2.5 ที่เกิดขึ้นในภาคเหนือปัจจุบัน เพราะส่วนใหญ่มันก็เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์เนอะ

22:58

แล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่ประเทศเรานะ เราส่งออกไปประเทศอื่น

23:01

ประเทศอื่นก็เหมือนกับทิ้งภาระทางสิ่งแวดล้อมมาให้เชียงใหม่โดยตรง ผ่านการกิน บริโภคของเขาเนี่ยแหละ

23:08

อุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่พยายามเร่งการบริโภค การอะไรต่างๆ ขึ้นมา

23:13

พวกนี้เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงว่าคุณจะอยู่ในโหมดการเติบโต/บริโภคที่มากขึ้นเรื่อยๆ เนี่ย ผลกระทบมันต้องถูกผลักออกไปไม่สิ้นสุด

23:23

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง อยากจะยกตัวอย่างเยอะๆ เพราะจะได้เห็นเป็นรูปธรรมเนาะ อย่างเช่นว่า บะหมี่กึ่งละกัน

23:27

ถ้าพูดยี่ห้อเดี๋ยวโดนฟ้องเนาะ (หัวเราะ)

23:30

บะหมี่กึ่งก็จะมีน้ำมันใช่มะ ที่อยู่ในอุปกรณ์ปรุงบะหมี่กึ่งของเรา

23:38

มันต้องถูกทำในโรงงานปาล์มใช่มะ

23:41

จริงๆ โคเฮย์เขียนกรณีโรงงานปาล์มเหมือนกัน แต่ที่มาเลเซีย

23:46

ของผมเนี่ยเป็นประสบการณ์จริง คือเคยทำงานอยู่ภาคใต้ แล้วอยู่ใกล้โรงงานปาล์ม

23:53

ก็คือคนที่ผลิตน้ำมันใส่ซองบะหมี่กึ่งอยู่แถวนั้นน่ะ เขาก็เป็นแรงงานข้ามชาติ มาจากเมียนมาร์

24:00

ก็คือนิ้วขาดกันทุกอาทิตย์ๆ เงี้ย

24:04

หมายถึงว่ากว่าคุณจะได้ซองมาม่ามาอันนึง คุณต้องมีน้ำมันใช่ไหม

24:08

เหมือนกับคุณผลักภาระทางอุบัติเหตุออกไปให้คนชายขอบ

24:13

เขาต้องรับความเสี่ยงจากโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน แล้วก็ไม่ได้รับการคุ้มครองเพราะไม่ใช่พลเมืองไทย

24:19

แล้วสิทธิต่างๆ เขาก็เปราะบางมาก

24:22

จะมีการนิ้วขาดมาทุกสัปดาห์ ผมก็จะเจอตลอด ผมทำงานด้านสาธารณสุขอะนะ

24:30

นี่แหละมันคือสภาพของการอยู่ใน imperial mode of living จริงๆ คุณอยู่ผ่านเลือด ผ่านเนื้อ ผ่านอะไรต่างๆ

24:37

ผ่านการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ยกตัวอย่างในมาเลเซีย คือพื้นที่ต้องเปลี่ยนไปปลูกปาล์ม

24:43

ป่าก็โดนถางออกไป น้ำก็เสียมากขึ้น อะไรต่างๆ

24:48

พวกนี้เป็นเรื่องจริงอยู่ทุกวันที่ดำเนินไป แล้วกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบนี้มันต้องถูกรักษาไว้ผ่านการผลักออกไป

24:55

บอส : เพราะว่าถ้าไม่ผลักออกไป ต้นทุนมันน่าจะแพงมาก

24:58

เพราะว่าคนที่อยู่แกนกลางที่เรารู้สึกว่าเราจ่ายเงินแล้วจบเพื่อแลกสินค้า/บริการ

25:04

จริงๆ ถ้าเราต้องจ่ายทุกอย่างที่เป็นต้นทุนจริงๆ ของการได้มาซึ่งสินค้านั้นน่ะ

25:11

บางทีเราอาจจะจ่ายไม่ไหว

25:11

ปฐมพงศ์ : ใช่ๆๆ

25:13

บอส : แล้วถ้าเกิดเราจ่ายไม่ไหว เราก็จะไม่มีวิถีชีวิตแบบนั้นได้

25:17

นายทุนคนที่ผลิตอะ ก็ต้องคิดแล้วว่าคนที่อยู่ตรงกลาง ด้วย supply-demand สภาวะเศรษฐกิจอะไรเงี้ย

25:24

จะทำให้คนบริโภค ต้องผลิตเท่าไหร่ ขายราคาเท่าไหร่

25:28

เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องพยายามนึก supply-demand คือถ้าราคาสูงไปคนก็ซื้อน้อย

25:34

แล้วทุกคนก็รู้ว่าเวลาเขาผลิตอะ แบบ bottom line เลยก็คือต้นทุนต้องต่่ำที่สุด

25:40

ซึ่งต้นทุนต่ำที่สุด ถ้าเป็นคนที่โปรทุนก็จะบอกว่ามันมาจากการที่มีนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพ

25:46

แต่เรารู้สึกว่าอีกกลไกที่สำคัญคือกลไกการผลักบางส่วนให้ไม่เป็นต้นทุน ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นพาร์ทใหญ่เลยนะ

25:55

เราเป็นประเทศที่เขาแปะป้ายว่าเป็นประเทศโลกที่สาม

25:59

แล้วสิ่งที่ดึงดูดให้พวกโรงงานของบริษัทข้ามชาติมาตั้งคือค่าแรง

26:05

เราก็จะได้ยินว่า เดี๋ยวนี้ค่าแรงคนไทยแพง ไปเวียดนามต่อ

26:10

แต่ถ้าเกิดมันมีที่ที่ถูกกว่าเวียดนาม มี skilled labour พร้อม มันก็พร้อมที่จะย้ายต่อ

26:14

อย่างถ้าทำให้ค่าแรงถูกนะ เราก็ต้องไปดูว่าแล้วคุณภาพเราชีวิตเป็นยังไง

26:19

เหมือนมาเถียงกันเรื่องค่าแรงขั้นต่ำว่า 300 แพงไป

26:22

แต่คำถามคือ 300 มันพออยู่เหรอวะ

26:25

สมมติถ้าบังคับ 300 ได้ สิ่งที่ต้องแลกกันคือคุณภาพชีวิตของแรงงาน ก็จะต่ำลงไปตาม แต่ตรงนี้ก็จะถูกซ่อนไป ถูกไหม

26:34

อีกเรื่องหนึ่งที่ปฐมพงศ์พูดมาก็คือเรื่องการซ่อน

26:38

แล้วบอกว่าพอเป็นเรื่องข้อมูลผลกระทบเชิงลบ จริงๆ เราก็รู้แล้วแต่ว่า

26:43

ประเด็นหนึ่งที่ทำให้เราสามารถยักไหล่แล้วไปต่อได้ง่ายก็คือเพราะมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น เราไม่เห็นมัน

26:50

เพราะว่าเรื่องพวกนี้ถูกย้ายพื้นที่ จึงเป็นกลไกอันหนึ่งที่สำคัญของการซ่อน

26:56

ก็คือการย้ายผลกระทบเชิงลบจากการบริโภคไปอยู่ในที่ที่ผลิต เหมือนย้ายการผลิตออกไป

27:02

ซึ่งเราจะเห็นแพทเทิร์นเลยนะ ประเทศที่แปะป้ายตัวเองว่าเป็น developed country อะ

27:06

จะพยายามย้ายฐานการผลิตออกไป มันเป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก ย้ายไปตั้งทั่วโลก

27:13

เราก็พอรู้ว่าพอมันย้ายไปแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในประเทศที่เป็นฐานการผลิตก็จะเพิ่มขึ้นตาม

27:21

ง่ายๆ เลย ระยองงี้ โซนอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรางี้

27:26

มันก็มีข่าวผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมออกมาตลอด

27:29

ทิ้งขยะบ้าง น้ำมันรั่วนี่บ่อยสุดละ ที่ระยองเนี่ย เป็นต้น

27:35

อันนั้นก็คือการ shift เชิงพื้นที่

27:40

แต่มันก็มีปรากฏการณ์เรื่องการย้ายอีก 2 แบบเนอะ

27:44

ก็คือกลับมาจุดเดิมก็คือการกดต้นทุนให้มันต่ำ แล้วคนใน imperial mode of living ยังสามารถบริโภคตรงนี้ได้

27:50

เพราะว่ามันมีการ shift ผลกระทบเชิงลบอีก 2 แบบ

27:54

ก็คือ shift เชิงเวลา ก็คือไม่ซวยตอนนี้ แต่ไปซวยอีก 10 ปีข้างหน้า เช่น ไมโครพลาสติก เป็นต้น

28:00

ไมโครพลาสติกมัน 20-30 ปีแล้วเนอะ แต่ว่าช่วงยุคแรกๆ

28:04

คนก็จะบอกว่าไม่มีผลการวิจัย ไม่เป็นไร ไม่มีผลกระทบเชิงลบ ช่างแม่ง

28:08

แต่ตอนนี้คนก็เริ่มบอกว่าไมโครพลาสติกมันอยู่ในทุกที่

28:12

แล้วก็เริ่มบอกว่ามันเป็นตัวที่อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็งหรือเปล่า หรือโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่เพิ่งมารู้ 20-30 ปีให้หลัง

28:19

คนที่บริโภค คนที่ใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกแต่ก่อน

28:23

แต่ก่อนพลาสติกก็ถูกแปะป้ายว่าเป็นวัสดุแห่งอนาคตด้วยซ้ำ จากบริษัทน้ำมันเนี่ยแหละ

28:31

แล้วก็ไม่รู้ว่ามันมีผลกระทบเชิงลบ เพราะผลกระทบมันโผล่อีก 20-30 ปีให้หลัง

28:38

เรื่อง climate change นี่ชัดเลย เราปล่อยก๊าซเรือนกระจกวันนี้ คนที่ซวยไม่ใช่เรา

28:45

ไม่ใช่เราตอนนี้ด้วยซ้ำ ต้องเรียกว่าเราในอีก 20-30 ปี

28:49

เพราะว่าระบบโลกมันมีดีเลย์ในการเพิ่มอุณหภูมิ

28:53

หมายถึงเราปล่อยก๊าซเรือนกระจกหนึ่งหน่วยวันนี้ ไอ้หนึ่งหน่วยตรงนี้มันจะไม่ทำให้โลกร้อนขึ้นทันที

28:58

แต่จะใช้เวลาประมาณสิบปี

29:01

เพราะงั้นคนที่ซวยก็คือเราในอนาคต กับถ้าเรามีลูกมีหลาน ก็คือลูกหลานเรา

29:06

อีกเรื่องหนึ่งคือการ shift เชิงเทคโนโลยี

29:09

ซึ่งอันนี้ก็ bottom line เหมือนกันเนอะ

29:12

ว่าพอเราคิดว่าเรามีเทคโนโลยีที่มันดีขึ้น เราจะสามารถค่อยๆ กำจัดผลกระทบเชิงลบจากการผลิตสมัยก่อน

29:18

สมัยก่อนเราบอกว่าเราผลิต เราใช้เครื่องจักร เราต้องใช้ถ่านหินเป็นหลัก

29:23

แต่พอเขาบอกว่าเทคโนโลยีพัฒนาแล้ว เรามีแหล่งเชื้อเพลิงใหม่ๆ ที่ไม่สร้างผลกระทบเชิงลบ

29:28

ไม่ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ได้ปล่อยซัลเฟอร์ทำฝนกรดอะไรงี้ใช่มะ

29:33

หรือไม่ได้ปล่อยเขม่าเหมือนถ่านหินเนอะ

29:35

แต่ว่ามันก็จะมีผลกระทบเชิงลบอื่นๆ ที่บางทียังไม่ถูกเน้น เพราะว่าถ่านหินไม่เคยมี

29:41

อย่างเช่น เรื่องพลังงานหมุนเวียน ที่ต้องมี rare earth materials เป็นแร่ธาตุที่หายาก มันก็ต้องผ่านการทำเหมือง

29:49

ในประเทศหลักๆ ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกเจ้าอาณานิคมล่า เช่น ประเทศแถบแอฟริกา

29:56

ที่ถูกทุนจีนไปยึดหมดละ แล้วก็ทำเหมือง ใช้แรงงานเด็ก นู่นนี่นั่น

30:02

หรือตัวอย่างในหนังสือโคเฮย์ที่เราชอบมากเลย

30:06

คือเรื่องการผลิตอาหารในสังคมอุตสาหกรรม

30:09

ที่บอกว่าแต่ก่อนน่ะ สิ่งที่จำกัดปริมาณอาหารที่เราผลิตได้และจำกัดปริมาณประชากร

30:15

หลักๆ ก็คือแต่ก่อนไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมีเนอะ ในดินมีสารอาหารเท่าไหร่ ปลูกปุ๊บออกมาเป็นผลผลิต คนเอาไปกิน

30:24

แล้วแร่ธาตุในดินก็น้อยลง ปลูกรอบต่อไปก็จะให้ผลผลิตน้อยลง ก็ต้องให้เวลาดินได้พัก ได้ฟื้นฟูบ้าง

30:32

แต่พอเราก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขึ้น สามารถผลิตปุ๋ยไนโตรเจนได้ สามารถดูดไนโตรเจนจากอากาศมาผลิตปุ๋ยได้

30:41

ก็เหมือนเรา breakthrough แล้ว เราไม่ติดลิมิตเรื่องสารอาหารในดินแล้ว เราใส่ปุ๋ยเคมีแล้วผลิตอาหารได้เลย

30:48

ผลิตเพิ่มขึ้น ประชากรก็เพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่เกิดคือการใช้ปุ๋ยมันสร้างผลกระทบเชิงลบอื่นๆ

30:55

อย่างพวกสารอาหารอินทรีย์ในแม่น้ำเนอะ เพราะดินและไนโตรเจนพวกนี้พอถูกใส่เยอะเกินก็ถูกชะล้างไป

31:03

จากฝนบ้าง จากการรดน้ำในไร่ในแปลง สุดท้ายก็ลงแหล่งน้ำ

31:09

แล้วแหล่งน้ำก็ไปรวมอยู่ในแม่น้ำแล้วก็ลงทะเล

31:12

อย่างอเมริกา แม่น้ำมิสซิสซิปปีก็เป็นตัวอย่างเลย

31:16

อ่าวเม็กซิโกในอเมริกาเป็นปลายทางของแม่น้ำมิสซิสซิปปี

31:20

ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่มาก อยู่กลางทวีปอะ เพราะฉะนั้นกลางทวีปอเมริกาทำอุตสาหกรรมพืชเชิงเดี่ยวกันเยอะ ใช้ปุ๋ยกันระยำสุดๆ

31:30

ทะเลตรงโซนนั้นก็จะมีสารอาหารอินทรีย์เยอะ พวกสาหร่ายก็โตไว ทำให้น้ำเน่า

31:39

มันก็จะเกิด dead zone เป็นโซนที่ปลาตายหมดเพราะไม่มีออกซิเจนในน้ำ โดนสาหร่ายแย่ง

31:47

dead zone ในอ่าวเม็กซิโกเกิดบ่อย เกิดถี่ แล้วก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

31:56

ปฐมพงศ์ : สรุปอีกทีหนึ่งละกัน

31:59

เมื่อกี้ที่บอสพูดไปคือการจัดการให้ดำรงชีวิตในโหมดการผลิตแบบนี้ได้มันมีการ shift 3 แบบ

32:08

ก็คือการ shift ทางเวลา ก็คือผลัดวันประกันพรุ่งน่ะ พูดง่ายๆ คือยังไม่ทำตอนนี้ ค่อยทำตอนอื่น

32:14

ผลักออกไป ยังมีเวลา รอให้การเติบโตนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มา

32:19

พูดถึงเทคโนโลยี การ shift ทางเทคโนโลยีที่คุณบอสพูดไปแล้วก็เห็นภาพชัดเจน

32:24

ผมอยากจะยกตัวอย่างอีกอัน พูดง่ายๆ คือเหมือนเราอัพเดตซอฟต์แวร์หรือแอพ แล้วมันจะมีฟีเจอร์ใหม่ แล้วก็มีบั๊กใหม่มา

32:32

เพราะเวลาคุณพยายามหาเทคโนโลยีใหม่ แน่นอนมันอาจจะแก้ปัญหาเก่า

32:39

แต่ว่ามันมีปัญหาใหม่บางอย่างที่คุณอาจจะยังไม่รู้แล้วมันพ่วงมาด้วย

32:43

เนื่องจากผมโปรพลังงานทางเลือกเนาะ

32:47

แต่ถ้าคุณจะโตโดยใช้พลังงานเรื่อยๆ พลังงานทางเลือกเองก็มีผลกระทบเหมือนกัน

32:52

ตัวอย่างเช่น กังหันลมที่ดูสะอาดมากใช่แมะ แต่มันก็มีเรื่องเสียง เรื่องการอพยพของนก เรื่องพื้นที่ที่ใช้มหาศาล

33:02

ไม่ต้องพูดถึงแค่นก หรือทรัพยากรธรรมชาติ แต่พูดถึงคนด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ ณ ฟาร์มกังหันลมเขาเป็นยังไง

33:09

ตัวอย่างในเกาะไต้หวัน ที่พยายามเปลี่ยนพลังงานให้เขียวเต็มที่ นิวเคลียร์ก็ไม่ใช้เพราะมันมีปัญหาเรื่องนิวเคลียร์

33:18

คนที่สายกรีนอย่างกรีนพีซเขาก็มาจากการต่อต้านนิวเคลียร์ใช่มะ นิวเคลียร์ก็เลยไม่ใช่เขียวแท้ๆ แต่เป็นกึ่งๆ

33:26

บางคนก็ว่ากรีน บางคนก็ว่าไม่กรีน แต่นั่นแหละ

33:29

กระแสกรีนในไต้หวันเขาจะไม่เอานิวเคลียร์ แต่ถ้าจะตั้งกังหันลมก็มีปัญหากับคนที่ต่อต้านกังหันลม

33:37

คนต่อต้านกังหันลมเพราะคุณไปตั้งที่ไหนคนตรงนั้นจะมีปัญหา

33:42

เช่นมีครอบครัวหนึ่งที่คนไปทำสกู๊ปข่าว แต่เดิมเขาอยู่ติดชายฝั่ง

33:46

แล้วชายฝั่งเป็นที่ที่ดีสำหรับกังหันลมมากเพราะลมแรง ให้พลังงานเยอะ

33:51

เขาก็อยู่ปกติจนกังหันลมมาตั้ง เจอปัญหาเสียงรบกวน นอนไม่หลับ

33:56

ยังไม่พอ กังหันลมนี่นะ คุณลองนึกสภาพพัดลมติดอยู่ใต้ไฟเพดาน มันจะมีเงาหวึบๆ

34:06

มันปวดหัวมาก ทำให้เขามีปัญหาเรื่องโรคจิตเวช เรื่องนอนไม่หลับ ต้องกินยามากมาย

34:14

แค่ว่าเพราะกังหันลมมาตั้งเพื่อส่งพลังงานให้คนที่อยู่ไทเป

34:20

สภาพของการมีฟีเจอร์ใหม่ มีเทคโนโลยีใหม่มาแก้ไข มันก็นำพาไปสู่บั๊กใหม่ๆ สู่อะไรใหม่ๆ ที่เรายังไม่รู้

34:29

อันนี้โฆษณาหนังสือเนติวิทย์ให้อีกอัน กำลังแปล น่าจะออกมาเร็วๆ นี้ เรื่อง Half-Earth Socialism

34:38

มีประโยคหนึ่งที่คนเขียนพยายามจะพูด ก็คือเราจะพลิกกลับดีไหม

34:42

จากเดิมที่เสรีนิยมใหม่พยายามบอกว่าเราไม่สามารถรู้ทุกอย่างในตลาด ดังนั้นจึงต้องให้ตลาดจัดการ

34:48

สภาพตอนนี้คือเราไม่สามารถรู้ทุกอย่างของสิ่งแวดล้อม โมเดลก็แค่พยายามทำนาย

34:55

แต่มันมีความผิดพลาด มีอะไรเยอะแยะ

34:58

เพราะฉะนั้นอาจจะต้องจัดการเศรษฐกิจให้มีผลกระทบน้อยที่สุด ใช้เทคโนโลยีที่เรารู้ผลกระทบมันแล้ว

35:06

เหมือนคุณใช้ยา หมอที่อนุรักษนิยมเขาจะใช้ยาเก่าๆ เพราะเขารู้ผลกระทบ รู้ผลข้างเคียงแล้ว

35:13

ยาที่ใช้มา 100 ปีแล้ว เรารู้ว่ามันดีอย่างนี้ ไม่ดีอย่างนี้

35:16

ยาใหม่มา บางทีเห่อใช้ตอนแรก แต่ใช้ไปใช้มามันมีผลกระทบแบบนี้ขึ้นมา

35:21

เพราะว่าเรายังไม่รู้ มันต้องใช้เวลาในการค้นพบผลกระทบจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เสมอ

35:25

Half-Earth Socialism หรือ degrowth ก็มีการ advocate ให้ใช้เทคโนโลยีแหละ

35:32

แต่ว่าไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่จัดๆ ที่เราคาดหวังไว้ว่าจะแก้ปัญหาในอนาคต

35:36

เพราะมันจะนำพาผลกระทบใหม่ที่เราไม่รู้จริงๆ ต้องรอเวลาดูผลกระทบ

35:43

แล้วเราอยู่ในจุดที่ไม่สามารถรอเวลาค้นพบผลกระทบพวกนั้นได้แล้ว

35:49

บอส : ส่วนตัวรู้สึกว่า climate change เป็นกำแพงใหญ่

35:53

ในอดีตทุกคนพยายาม shift ใช้เทคโนโลยีนี่แหละค่อยๆ shift ผลกระทบเชิงลบไปในอนาคต ไปข้างหน้า

36:02

เอาเทคโนโลยีใหม่มาแก้ปัญหาเทคโนโลยีเก่า เช่นเรื่องพลังงานหมุนเวียนที่ยกตัวอย่าง

36:07

พลังงานหมุนเวียนถูกสร้างมาเพราะคนพยายามแก้ปัญหาพลังงานฟอสซิล

36:12

ที่พอใช้แล้วมันดันปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

36:17

ซึ่งทำให้โลกร้อน ซึ่งเป็นผลกระทบเชิงลบถูกไหม

36:20

เขาก็เลยไปคิดหาพลังงานหมุนเวียนขึ้นมาใหม่ ที่เอาแหล่งพลังงานมาจากธรรมชาติ แสงอาทิตย์บ้าง ลมบ้าง

36:29

แต่มันก็มีผลกระทบเชิงลบอื่นๆ ที่ตามมาอีกที

36:33

ทีนี้มันก็มีเทคโนโลยีที่พยายามแก้ปรากฏการณ์ climate change เองเลย ก็คือการดูดจับคาร์บอนกลับไป

36:41

นี่เป็นตัวอย่างเทคโนโลยีอันใหม่ที่เขาคิดว่าจะสามารถเป็น technological shift เพื่อทำให้ปรากฏการณ์โลกรวนถูกดีเลย์ออกไป

36:52

แล้วก็อาจจะไปซวยที่อื่น เพราะการดักจับก๊าซ CO2 ในชั้นบรรยากาศ กระบวนการทำงานมันคือ

37:01

หลักๆ คือโลกร้อนเพราะ CO2 ในอากาศเยอะเกินไป คอนเซ็ปต์ง่ายๆ คือดูดมันกลับมา

37:08

ดูดกลับมาแล้วเอาไปไว้ไหน ก็ต้องอัดเข้าไปใต้ดินใหม่

37:13

คนก็มองว่าเทคโนโลยีนี้เป็นตัวช่วยเลย เพราะทุกคนคิดว่าเราลดการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติไม่ทัน เราเลยต้องมีตัวช่วยมาแก้ปัญหานี้

37:25

แต่เทคโนโลยีนี้มันอาจจะมีผลกระทบเชิงลบตามมา เช่น ทำให้ชั้นธรณีไม่เสถียร เกิดแผ่นดินไหว อะไรพวกนี้

37:35

แล้วอีกอย่างคือมันมีโอกาสรั่วซึมกลับมานะ

37:38

สมมติว่าในอนาคตบ่อที่อัด CO2 เจอแผ่นดินไหว มันก็จะรั่วกลับขึ้นมาเหมือนเดิมอยู่ดี

37:46

นี่ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง

37:49

อันนี้ดรามาเหรอ ดรามาหน่อยละกัน

37:53

แม้กระทั่งโซลาร์เซลล์เนาะ ตอนนี้โซลาร์เซลล์ถูกผลิตออกมาเยอะมากแล้ว

37:58

ถ้าผมจำผิดก็ขออภัยนะ แต่คิดว่าไม่ผิดนะ เหมือนว่าการผลิตโซลาร์เซลล์ในจีนเมื่อปี 2024 ผลิตเยอะกว่าอเมริกาผลิตทั้งประวัติศาสตร์เลย

38:11

คือผลิตเยอะมาก เพราะพลังการผลิตปัจจุบันมันเยอะขนาดนั้น

38:15

มันนำมาด้วยการต้องใช้แร่หายากเยอะมาก แล้วก็มีปัญหาเรื่อง geopolitics

38:21

มันมีเรื่องของการค้าโลก เรื่องของสงคราม เรื่องอะไรตามมา

38:26

แล้วกลับไปคอนเซ็ปต์เรื่องชายขอบ ว่าทำไมมันถึงมาอยู่ตรงพม่า

38:33

เพราะพม่าก็เป็นผลกระทบจาก imperial modeฯ ด้วยจริงๆ ถ้าย้อนกลับไปสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนู่นเลย

38:39

มันเป็นการเติบโตของทุนนิยมสมัยนั้น แล้วต้องมาแย่งที่กันเพื่อระบายสินค้าต่างๆ

38:43

แล้วมันก็มาลงที่อินโดจีน แล้วพม่าเป็นอาณานิคม

38:48

พอพวกนี้ถอยออกไป มันก็ตัดแบ่งเส้นเขตแดนแบบตามใจชอบ แบบอยากจะให้ตรงนี้เป็นประเทศอะ

38:54

มันก็มีปัญหาตามมาของการขีดเส้นแบ่งทั้งในปาเลสไตน์ ทั้งในอินโดจีน

39:00

ของเราด้วย สงครามไทย-กัมพูชาก็เป็นปัญหาเส้นแบ่งของอาณานิคม ในพม่าเองด้วย

39:05

แล้วมันก็เกิดกระแสการตีกลับ ต่อต้านจักรวรรดินิยม ต่อต้านตะวันตก รัฐบาลทหารพม่าต่อต้านตะวันตก อะไรต่างๆ

39:11

แต่ว่าก็มีปัญหาการทำลายคนในประเทศตัวเอง เรื่องคนชายขอบ ชนกลุ่มน้อยต่างๆ สุดท้ายมันเกิดภาวะสงครามกลางเมือง

39:19

แล้วมันก็เกิดเหมืองแร่พวกนี้ไปตั้ง ณ จุดใจกลางสงครามกลางเมือง

39:24

ซึ่งเป็นจุดที่การแก้ปัญหามันเป็นไปได้ยากมากๆ เพราะเป็นพื้นที่ที่ยังเกิดสงคราม

39:31

กลายเป็นว่าสงครามมันไม่ได้ชะลอ ไม่ได้เป็นสิ่งตรงข้ามกับระบบทุนนิยม

39:37

มันเป็นสิ่งที่เสริมสร้างระบบทุนนิยม ทั้งระบบทุนนิยมทำให้มันเกิด และมันก็เสริมสร้างทุนนิยมไปด้วยกัน

39:42

มันมีคอนเซ็ปต์เรื่อง Military Keynesianism ด้วย เป็นสงครามเพื่อการเติบโต

39:49

เพราะจริงๆ แล้วการใช้จ่ายเงินทางด้านอุตสาหกรรมทหารมันเร่งการเติบโตของประเทศ

39:55

ยกตัวอย่างเช่นสงครามเย็น ที่ทำไมมีหลายประเทศที่เติบโต เพราะว่าอุตสาหกรรมทหารมันเพิ่มการจ้างงาน

40:01

เพราะฉะนั้นพอเราพูดเรื่องการเติบโตทาง GDP มันเลยเป็นคอนเซ็ปต์ที่นามธรรมมาก เพราะอะไรๆ มันก็เป็นการเติบโตได้หมด

40:08

คุณทิ้งบอมบ์มันก็เป็นการเติบโตได้

40:11

ทีนี้ไม่รู้จะโยงเข้าไปยังไงเลยโยงดื้อๆ เลยว่ามันมีคอนเซ็ปต์ที่ว่า

40:17

ถ้าเราพยายามหลีกหนีการดู GDP การผลิต ซึ่งผลิตอะไรก็ได้ ไม่ได้สนใจเนาะ

40:24

ต้องยกตัวอย่างอีกหน่อยว่า อย่าง GDP ของการผลิตอาหารโลกเนี่ยเนาะ มันแค่ 4% น่ะ

40:31

อันนี้โคเฮย์เขียนไว้ว่า GDP ของอาหารโลกมันแค่ 4% เพราะว่า GDP มันพูดถึงมูลค่าแลกเปลี่ยน ไม่ใช่มูลค่าการใช้สอย

40:40

คืออาหารมันเป็นสิ่งสำคัญ เป็นใจกลางของชีวิต แต่มีมูลค่าแค่ 4%

40:44

แต่มูลค่าของพวกสินค้า โฆษณา การทหารอะไรงี้ มันมีมูลค่าเยอะกว่ามาก

40:50

เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะโตอย่างเดียว โคเฮย์ยกตัวอย่างว่า คุณก็โตได้ คุณสามารถปล่อยให้พื้นที่ผลิตอาหารถูกน้ำท่วมไปได้

40:58

เพราะ GDP ก็ยังโตอยู่ผ่านเซคเตอร์อื่น

41:01

นึกสภาพของไทยก็ได้ เวลาจะคิดถึงการเติบโตใช่มะ เราบอกว่าเราต้องเปลี่ยนผ่าน

41:06

หรือจีนเขาจะเปลี่ยนผ่านเป็นเทคโนโลยีการเติบโตทาง AI ทางเทคโนโลยีชั้นสูง ที่ไม่ใช่การผลิตอาหารอีกแล้ว

41:13

เพราะว่าอาหารมันสะท้อนผ่าน GDP น้อยมาก ทั้งๆ ที่เป็นใจกลางของชีวิต

41:18

เราขาดอาหารไม่ได้ มนุษย์เราอยู่มาหลายแสนปีแล้ว

41:24

ก็อยู่มาได้เพราะเราหาอาหารใช่ไหม แต่ปัจจุบันเราไม่ได้มุ่งจะทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร

41:31

เรามุ่งอย่างอื่นเพื่อการเติบโต อาหารมันไม่ค่อยสะท้อน

41:35

ประเทศไทยถ้าผมดูตัวเลขไม่ผิดอยู่ที่ 8% ของ GDP

41:38

พอเราเอา GDP เป็นตัวหลักแกนกลาง อาหารมันเลยเป็นสิ่งที่ถูกผลักออกไป เพราะว่าไม่มีใครอยากผลิตอาหารอีกแล้ว

41:46

อาหารถูกบังคับให้ผลิตผ่านชายขอบ ในเงื่อนไขที่ว่าถ้าไม่ทำมึงก็ตาย โดนปืนจ่ออะไรต่างๆ

41:54

กิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์มันตัดขาดจากชีวิตที่แท้จริงไปแล้ว

41:59

หมายถึงเวลาเราจะมุ่งหาการจัดการทางเศรษฐกิจอะนะ

42:03

ทีนี้ก็เลยจะเข้าคอนเซ็ปต์ดื้อๆ ว่ามันมีคอนเซ็ปต์ metabolism

42:06

คอนเซ็ปต์ metabolism เนี่ยถ้าอยู่สายวิทย์ก็คงพอเข้าใจบ้าง โดยเฉพาะสายชีวะ สายสุขภาพ เพราะมันเป็นเรื่องสุขภาพเนอะ

42:17

เพราะปัจจุบันเวลาเราพูดถึง metabolism ในด้านวิทยาศาสตร์ เราจะพูดถึงเรื่องการดูดซึม เปลี่ยนแปลง กระจาย ขับออกในร่างกาย

42:25

เวลาเราพูดถึงอาหาร ยา หรืออะไรต่างๆ

42:28

แต่ในยุคนั้นที่มาร์กซ์เขียนในศตวรรษที่ 19 คอนเซ็ปต์เรื่องนี้มันถูกขยาย

42:35

แล้วจริงๆ ตอนนี้ก็คนต่อยอดเยอะอะเนอะ

42:37

แต่คอนเซ็ปต์พวกนั้นมันถูกขยายไปในระดับที่ไม่ใช่คอนเซ็ปต์ของสิ่งมีชีวิตหนึ่งละ

42:43

มันเป็นคอนเซ็ปต์ระดับโลก ระดับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ว่ามันเป็น metabolism

42:48

metabolism คือการเปลี่ยนแปลง การปฏิสัมพันธ์ เริ่มจากการดูดซึม ผลิต ขับถ่าย กระจายอะไรต่างๆ

42:57

เขาพูดถึงว่าในโลกมันมี metabolism แล้วมันคืออะไร

43:02

พูดแบบใช้คำเมืองก็กลัวคนไม่เข้าใจเนาะ พูดแบบหยาบๆ เลยละกันว่า

43:08

คุณก็เห็นห่วงโซ่อาหารใช่ไหม พืชรับแสงแดด สัตว์กินพืชกินพืช สัตว์กินเนื้อกินสัตว์ตัวนั้น

43:15

มีการขับถ่าย กลายเป็นไนโตรเจนเข้าไปเลี้ยงดิน แล้วก็วนๆๆ

43:19

หรือเรื่องฝน เรื่องอะไรต่างๆ นี่ก็เป็นตัวอย่างคร่าวๆ หยาบๆ ของ metabolism

43:25

นี่คือ natural metabolism เนาะ ซึ่งมนุษย์อยู่ใน metabolism แบบนี้

43:30

มนุษย์ก็มีปฏิสัมพันธ์ มนุษย์ต้องกิน ผลิต ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ อะไรก็ตามแต่

43:37

แล้วก็ขับถ่ายลงดิน จัดการของเสีย

43:40

กิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ก็เป็นเรื่องของ social metabolism ด้วย ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ natural metabolism

43:48

หมายถึงว่ามนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กันและกัน ผ่านในโครงข่าย metabolism ใหญ๋ มนุษย์เป็นหนึ่งในนั้น

43:54

แต่มันก็จะมีปัญหา เหมือนที่ผมคุยใน Analysand EP 3 ว่าอันนั้นคือมุมมองทั้งหมด

44:01

แต่โคเฮย์พยายามจะมองที่ Anthropocene ที่มนุษย์

44:04

เพราะว่ามันมีการ shift การมองที่ต่างกัน ส่วนตัวผมไม่ค่อยซีเรียสว่าคุณจะมองยังไง

44:10

แต่ผมคิดว่ามองแบบแยกสองอย่างมันดีตรงที่เหมือนกับเราคิดว่าเราเป็นมนุษย์ไง

44:18

เรามี agency ในการทำบางอย่าง แน่นอนว่าสิ่งอื่นๆ เขาก็มี agency บ้าง

44:24

แต่สุดท้ายแล้วคนที่จะพังทุนนิยมตอนนี้ หรือคนที่สร้างทุนนิยมมันคือมนุษย์ไง

44:29

เพราะฉะนั้นถ้ามนุษย์หยุดหรือจัดการอะไรต่างๆ มันก็มี impact พอสมควร แล้วก็เป็นเหมือนแรงผลักให้เราจัดการต่างๆ ได้เนาะ

44:36

ฉะนั้นมันเลยเป็นคอนเซ็ปต์ว่า social metabolic ของมนุษย์กับ natural metabolism ของธรรมชาติเนี่ย

44:43

แต่เดิมก่อนยุคทุนนิยมมันเกิดภาวะ steady-state economy

44:51

steady-state metabolism ก็คือโฮโมเซเปียนส์อยู่งี้มาสามแสนปี

44:57

เราก็อยู่ได้โดยที่อุณหภูมิของโลกไม่โดนผลกระทบจากกิจกรรมของเรามากนัก

45:02

เพราะเรามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ มี metabolism แบบที่ไปกันได้กับ natural metabolism

45:10

แต่ตั้งแต่ยุคทุนนิยมฟอสซิลเป็นต้นมา ปุ้ง มันเหมือนเกิดการฉีกของ metabolism

45:16

metabolism ที่ทำในฐานะ social metabolism กับ planetary metabolism หรือ natural metabolism มันถูกแยกออกจากกัน

45:24

เขาใช้คำว่า metabolic rift ก็คือมันแตกออกจากกัน คือฉีกไปเลย

45:28

เพราะเหมือนกับว่าเรารู้แล้วว่าเราไม่ต้องพึ่งพาแล้ว แล้วคอนเซ็ปต์ของการเติบโตก็คือเรามี metabolism ที่มันเร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ

45:39

ยกตัวอย่าง เหมือนคุณกินข้าวอยู่ดีๆ แล้วคุณอยากอัดยา อยากโด๊ป อัดสเตียรอยด์เหมือนนักกีฬา

45:49

คุณโด๊ปก็คือคุณไปเร่ง metabolism น่ะ หรือไม่รู้คนทั่วไปพอเข้าใจภาพคนเป็นไทรอยด์ไหม มีเรื่องความกระฉับกระเฉง น้ำหนักลดเยอะ

46:01

หรือคนเป็นมะเร็ง น้ำหนักลดเยอะ

46:04

พวกนี้คือ metabolism มันเปลี่ยน คุณเร่งกระบวนการ metabolism มัน

46:08

เหมือนยุคทุนนิยมคุณเร่งกระบวนการเหล่านี้ คุณเผาผลาญถ่านหิน

46:13

คุณเอาสิ่งที่มันเป็น metabolism ของธรรมชาติที่กว่าจะหมักถ่านหินเป็นล้านปี คุณเอามาใช้ในเสี้ยววินาที

46:20

มันถูกฉีก ความเร็ว metabolism ของเรามันเร็วกว่าอย่างมาก เหมือนเป็นมะเร็งของโลกนี้

46:27

มันเป็น metabolism ที่ค่อนข้างชัดเจนว่ามันคือมะเร็ง

46:32

เพราะมันมุ่งเน้นที่จะโตแบบไม่จบไม่สิ้น คิดว่าเราจะโตโดยที่ฉีกขาดออกไป เราไม่สนใจ

46:39

แล้วก็ใช้กระบวนการผลักออกไป ทิ้งของเสียที่อื่น

46:43

สุดท้ายก็คือดึงการผลิตจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ทิ้งของเสียจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง

46:48

มันคือการฉีกขาดแบบนี้ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของยุคทุนนิยมแบบนี้

46:53

บอส : ที่ปฐมพงศ์พูดมา เราจะยกตัวอย่างสั้นๆ ก็คือเรื่อง climate change ตอนนี้เนี่ยแหละ

47:00

อาจจะเคยได้ยิน anti-climate change ทั้งหลายบอกว่าภาวะโลกรวนไม่ได้เกิดจากมนุษย์

47:06

อย่างวัวตด (หัวเราะ) ภูเขาไฟระเบิดแล้วปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

47:13

หรืออย่างทะเลก็ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เยอะมากต่อปี ต้นไม้หายใจก็ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

47:20

ทีนี้มันไม่ใช่ทุกกิจกรรมของมนุษย์ที่ขัดต่อ natural cycle หรือ metabolism ของโลก

47:28

มันก็มีบางอัน เช่น เราต้องการความร้อนเหมือนกัน

47:32

ระหว่างเราไปเผาถ่านหิน กับไปตัดต้นไม้สักต้นมาเผาฟืน

47:38

กิจกรรมสองอันนี้มันมีอันหนึ่งที่ขัดกับ natural cycle ซึ่งก็คือการเผาถ่านหิน

47:44

เวลาเผาฟืน จริงๆ ในเชิงเทคนิคเขาจะบอกว่าการเผาฟืนไม่ได้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

47:52

เพราะตัวคาร์บอน ตัวชีวมวลที่มาเป็นฟืนมันมาจากต้นไม้ที่ดูดซึม CO2 มา

48:01

จริงๆ ต้นไม้กับมนุษย์มีวงจรชีวิตคล้ายๆ กัน อายุขัยประมาณ 70-80 ปี ส่วนใหญ่เท่าๆ กัน

48:09

เราไปตัดต้นไม้นี้มาเผา CO2 นี้ก็ลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วถูกต้นไม้อื่นๆ ดูดซับไปเป็นชีวมวลใหม่

48:17

มันเป็น carbon cycle ที่สั้น แต่ปัญหาคือถ่านหินมันอยู่ใน cycle ที่ยาวเป็นพันๆ ปี

48:25

อย่างคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยในชั้นบรรยากาศ อยู่ในชั้นบรรยากาศประมาณ 100 ปี

48:31

ถ้าเราเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในวันนี้ ต้องใช้เวลา 100 ปีกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราเผาจะถูกดูดกลับลงมา

48:37

ดูดกลับลงมาไม่พอ กว่ามันจะลงไปเป็นถ่านหินมันใช้เวลาเป็นล้านปี

48:43

ล้านปีนี่อารยธรรมล่มสลายไปกี่อันแล้วไม่รู้ แต่ว่ากิจกรรมมนุษย์มันเร็วกว่านั้น

48:52

คือเราไปดูดเอาถ่านหิน น้ำมัน เชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติที่ natural cycle เป็นล้านปี

49:01

มาใช้ในเวลาไม่ถึง 200 ปีที่ผ่านมา หลังปฏิวัติอุตสาหกรรมเนี่ย

49:07

หลังจากที่ทุนนิยมเริ่มลงหลักปักฐาน ใช้เวลาสั้นมากในการดูดเอาสิ่งที่ต้องใช้เวลาเป็นล้านปีกลับขึ้นมา

49:14

ก็เลยเป็นปัญหาว่า เมื่อเทียบกับทั้งโลก แม้มนุษย์ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

49:20

เทียบต่อปีไม่ถึง 10% นะ แต่ 10% นี้ time horizon ไม่แมทช์กับวัฏจักรธรรมชาติ

49:28

มันเลยเป็นปัญหาอยู่จนถึงตอนนี้

49:31

ปฐมพงศ์ : ใช่ มันเลยไม่ใช่เรื่องว่า "มนุษย์ทำ" แต่คือเรื่อง "มนุษย์ทำในช่วงเวลาสั้นมาก"

49:37

แล้วมัน break cycle มันฉีกออก

49:41

เราก็อยู่ได้มานานมาก กว่าจะเกิดปรากฏการณ์ที่เราฉีกออกด้วยเทคโนโลยีแบบนี้

49:48

แล้วก็หวังว่าจะเกิดการปลดปล่อยอะไรบางอย่าง

49:51

มันเลยมาถึงจุดที่เราต้องคิดแล้วว่ามันไม่สามารถหลุดพ้นจากข้อจำกัดบางอย่างที่หลุดไม่ได้จริงๆ

50:01

เหมือนว่าสุดท้ายเราก็ต้องตายน่ะ (หัวเราะ) มันเป็นข้อจำกัดว่าสุดท้ายเราต้องมี metabolism กับธรรมชาติ

50:08

เราต้องมาคิดถึงว่าจะทำยังไงให้สอดคล้อง ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องกลับไปเข้าป่า

50:14

นึกออกไหม ในเมื่อเรามีความรู้ มีเทคโนโลยีในระดับนี้ได้ มันก็ต้องมีโมเดลที่เราพอจะนึกออกว่าแบบไหน ประมาณไหนที่เราจะจัดการได้

50:23

หรือพูดแบบโคเฮย์คือจัดการชีวิตแบบเก่าด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ

50:30

เนี่ยแหละ degrowth คือเราต้องหยุดคิดเรื่องการเติบโตไม่สิ้นสุด เพราะมันเป็น metabolic rift ละ

50:39

หมายถึงคุณฉีกออกจากธรรมชาติละ คุณไม่สามารถโตได้ คุณอาจจะต้องกลับไปหา steady-state economy

50:45

คือลักษณะของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้มุ้งเน้นการเติบโต แต่มุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืนและค่อนข้างไปได้กับ natural metabolism

50:55

ซึ่งตรงจุดนี้ ทำไมต้องเป็น degrowth และ communism

50:59

เพราะ degrowth เป็นขบวนการเคลื่อนไหวจากฝั่งสิ่งแวดล้อม พูดง่ายๆ คือซีกโลกเหนือ ประเทศพัฒนาแล้ว

51:08

มันเป็นประเทศที่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ปล่อยมาในอดีต

51:13

คือตอนนี้เขาอาจจะพยายามเทิร์นกรีน แต่สุดท้ายก็อย่างที่บอกว่ามันก็ต้องถูกผลักมาให้ประเทศอย่างเราๆ

51:19

แต่แค่ degrowth มันไม่พอ ผมคิดว่ามันต้องเป็น communism

51:23

เพราะว่ามันต้องมีรูปแบบการจัดการด้วยว่าจัดการยังไง แล้วคุณต้องตีความหมายคำว่าความมั่งคั่งเสียใหม่

51:30

เพราะ degrowth เนี่ย นอกจากคุณจะหลุดออกจากระบบ GDP การเติบโต พยายามกลับเข้า steady-state

51:37

หมายความว่าไม่ใช่ว่าเราทำกิจกรรมแบบเดิมต่อไปเรื่อยๆ ในภาวะที่ยั้งมันไว้ พยายามหยุดยั้งไว้แล้วยังทำในสิ่งที่เราทำเหมือนเดิม

51:49

เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้

51:54

จริงๆ ผมก็งงตั้งแต่เด็กนะว่าทำไมต้องโตวะ

51:59

ปีนี้บริษัทนี้ไม่โตเลย แย่แล้ว ตอนนั้นก็ยังนึกภาพไม่ออกเนอะ

52:04

แต่เขาจะบอกว่า คนนี้ได้จ้างงาน คนนั้นได้ทำงี้ทำงั้น

52:08

หมายถึงว่าเราพึ่งพาการเติบโตเพื่อให้คนอื่นๆ ได้ถูกจ้างงาน มีชีวิตรอด

52:13

แต่ถ้าเรามอง degrowth ว่าโตไม่ได้ปุ๊บ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องมุ่งเน้นการเติบโตเพื่อเพิ่มการจ้างงานก็เป็นไปไม่ได้

52:22

degrowth แบบนั้นมันไม่ใช่ degrowth มันคือ recession

52:26

มันคือการหยุดยั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจทันที

52:29

มันเลยต้องจัดการกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบใหม่ เพื่อให้คนอยู่ได้

52:33

อยู่ได้แบบไหน ก็คือแทนที่เราจะมองถึงเรื่องความมั่งคั่ง ในลักษณะที่เป็นความมั่งคั่งแบบปัจเจก

52:40

ความมั่งคั่งแบบเราจะใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ได้ไง ความมั่งคั่งแบบที่รัฐมนตรีบางท่านบินไพรเวตเจ็ตแบบขำๆ

52:50

เราจะไม่ไปเกินรัฐมนตรีเนาะ เพราะเดี๋ยวซวย (หัวเราะ)

52:59

ทำไมโคเฮย์ถึงพูดเรื่องไพรเวตเจ็ต เพราะมันเป็นสิ่งที่เราคิดถึงว่ามันมีคนใช้อยู่จริง

53:03

แล้วมันไม่จำเป็นแน่ๆ เพราะว่าเราไม่ได้ใช้ไง แต่ไพรเวตเจ็ตมันปล่อย CO2 เยอะมาก

53:10

พอเราเริ่มจากไพรเวตเจ็ต หยุดไพรเวตเจ็ตแล้วเราก็ต้องมาคิดกันว่าเราจะหยุดอะไรบ้างๆ

53:17

พอเราหยุดหลายๆ แล้วเราจะมีชีวิตอยู่กันยังไง ในเมื่อเราจำกัดความมั่งคั่งส่วนบุคคลใช่แมะ

53:23

ทุนนิยมสัญญาว่าถ้าคุณทำอะไรบางอย่างไปเรื่อยๆ คุณจะไปได้ถึง แต่ว่าคุณไปไม่ถึงแน่นอน

53:30

อันนี้จะไม่พูดถึงจิตวิเคราะห์มากนะ เดี๋ยวยาว เริ่มยาวละ เกินชั่วโมงละ

53:36

คือเราก็ต้องมาจัดการกันใหม่ว่าถ้าเราไม่โตแล้ว เรากลับมาสู่เศรษฐกิจแบบ steady-state แล้วเนี่ย

53:44

เราทิ้งความมั่งคั่งส่วนบุคคล/เอกชน มันไม่ใช่เป้าหมายของเราแล้ว

53:53

แล้วเราจะทำยังไง เราเลยต้องสร้างความมั่งคั่งแบบส่วนรวมขึ้นมา

53:57

ความมั่งคั่งนี้ไม่สามารถวัดได้ด้วย GDP เพราะสมมติคุณสร้างหอสมุด มีบริการทางการแพทย์ฟรี

54:05

มีการเดินทางด้วยรถไฟที่ไปได้ทุกที่ เพราะมันปล่อยคาร์บอนต่ำ ประสิทธิภาพดีกว่าเครื่องบินมาก

54:16

คุณมีรถไฟเพื่อที่จะหยุดการใช้เครื่องบินนะ ไม่ใช่มีรถไฟเพื่อเพิ่มการเดินทาง

54:20

เวลาคุณจะหยุดเครื่องบินที่บินในประเทศ ซึ่งมันมีขบวนการเรียกร้องให้หยุดเนอะ

54:29

อย่างน้อยก็ในฝั่งเศสก็มีความคิดที่จะหยุดแล้ว มีข้อตกลงว่าจะหยุดภายในปีไหนๆ เพราะมันปล่อยคาร์บอนเยอะ

54:36

คุณก็ต้องมีทางเลือกให้คนอื่นไปได้ ก็เป็นทางเลือกอื่นอย่างรถไฟ

54:40

พวกนี้มันไม่สามารถบอกได้ว่าคุณจะมีเศรษฐกิจที่เติบโต

54:43

ถ้าคุณเอาการเติบโตว่าโตไว้ก่อนแล้วสร้างบริการสาธารณะต่างๆ แล้วหวังเอาว่าเศรษฐกิจจะโตตาม

54:50

แต่ถ้าคุณบอกว่าจะไม่โตทางเศรษฐกิจแล้ว แล้วมันจะวัดยังไง GDP มันเลยวัดไม่ได้

54:56

เพราะฉะนั้นคุณต้องมองว่าทุกคนอาจจะไม่ได้มีเรือยอทช์ แต่คุณเข้าหอสมุดมีหนังสืออ่าน

55:03

ทุกคนอาจจะไม่ได้มีหนังสือส่วนตัว หรืออาจจะมีบ้างก็ได้ มันไม่ได้จำกัดเพราะหนังสือไม่น่าจะมีอิทธิพลทางคาร์บอนขนาดนั้น

55:11

แต่พอคุณมีห้องสมุด แน่นอนว่าการขายหนังสือก็ต้องลดลง นึกออกไหม

55:16

หรือคุณมีรถไฟ อุตสาหกรรมรถยนต์ก็ต้องลดลงอย่แล้ว พวกนี้มันอาจจะทำให้ GDP ลดลงเป็นผลกระทบ

55:23

เป็นผลข้างเคียงที่เราไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ให้มันเกิดขึ้น เพราะเราไม่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นว่ามันจะลดลงหรือไม่

55:31

เราสนใจที่สุขภาวะจริงๆ และความมั่งคั่งส่วนรวมจริงๆ

55:36

ว่าคุณไม่ต้องกังวลแล้วว่าคุณเกษียณแล้วจะอดตาย คุณมีรายได้ คุณเข้าถึงการรักษา คุณเดินทางได้

55:45

คุณนั่งวีลแชร์แล้วยังสามารถเดินทางในเมืองด้วยถนนที่ปลอดภัยได้

55:51

ซึ่งเราจะค่อยๆ พูดในตอนอื่นเนาะ

55:53

พวกนี้เป็นเรื่องความมั่งคั่งร่วมกัน ที่วัดทาง GDP ไม่ได้

55:58

แล้วถ้าวัด GDP ก็อาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่า แต่เราไม่ได้สนใจแล้ว

56:02

เพราะเราไม่ได้มองว่าความมั่งคั่งส่วนบุคคลต้องเพิ่มขึ้น

56:06

คุณมีความมั่งคั่งทางอาหารที่มั่นคงสำหรับทุกคนที่จะมีกิน

56:11

ไม่ใช่ทำงานเก็บเงินเพราะกลัวไม่มีกิน กลัวอดตาย

56:17

เราต้องมาจัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจว่าทำยังไงให้ทุกคนอยู่ได้โดยไม่ต้องหวังที่จะโตแล้ว

56:24

ทำยังไงให้อยู่ได้โดยพอประมาณ อันนี้ต้องแตะนิดหนึ่งเนาะ แต่ไม่เสียหาย ถือว่าอ้างอิง

56:32

เจ้าสำนักเศรษฐกิจพอเพียงกับอันนี้ไม่เหมือนกัน

56:37

เพราะเจ้าสำนักเคยกล่าวไว้ในงาน 5 ธ.ค. สมัยนายกทักษิณ

56:43

เคยกล่าวไว้ว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เรื่องการจำกัดการใช้จ่าย

56:49

แต่เป็นเรื่องการใช้ตามอัตภาพ คนรวยจ่ายเยอะ คนจนจ่ายน้อยเพื่อความมั่นคงของตัวเอง

56:55

เพราะฉะนั้นมันเลยต่างกัน มันไม่ใช่คอนเซ็ปต์แบบนั้น ว่าคนรวยจ่ายเยอะ คนจนจ่ายน้อย

57:00

แต่เป็นคอนเซ็ปต์ที่คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะรวยละ พูดง่ายๆ

57:05

เพราะการร่ำรวยมันมาจากการดูดเอาจากภายนอก ฉะนั้นคุณต้องตัดความร่ำรวยส่วนบุคคลทันที

57:11

ไม่ใช่ว่าคุณมีเงินเป็นแสนแล้วเก็บภาษีคุณเหลือห้าหมื่นนะ เราพูดถึงหลักพันล้าน

57:20

คุณอาจจะมีความแตกต่างทางรายได้นิดหน่อย แต่ความแตกต่างทางชีวิตคุณอาจจะไม่ได้มากเหมือนตอนนี้

57:26

ตอนนี้มันมีปรากฏการณ์ว่าคุณอาจจะไปโรงพยาบาลไม่ได้ถ้าไม่มีรถส่วนตัว มันจะดีกว่าไหมถ้าทุกคนสามารถเดินทางไปโรงพยาบาลได้

57:34

สมมติทุกคนอยู่ใกล้โรงพยาบาล มีรถสาธารณะที่พาคุณไปโรงพยาบาลได้ง่ายๆ

57:39

โดยคุณไม่ต้องพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวหรือรถเพื่อนบ้านที่เขาอาจจะไม่ว่าง

57:45

หรืออาจจะพึ่งพารถเพื่อนบ้านถ้าเขาว่างพอ

57:48

ฉะนั้นมันเลยเป็นโครงการทางเศรษฐกิจแบบ Degrowth Communism ที่เสนอหัวข้อหลักๆ คือ

57:54

หนึ่ง ลดเวลาการทำงาน เพื่อทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อโลกมันน้อยลง

58:01

สอง ให้ความสำคัญกับงานที่จำเป็นมากขึ้น คุณอาจจะต้องพูดถึงการปลูกผักมากขึ้น ทำงานบริการมากขึ้น

58:11

เดี๋ยวคงจะได้พูดในตอนต่อไป ตอนนี้เวลาเริ่มกระชั้นละ

58:17

ความมั่นคงทางอาหาร อย่างยุคโควิดของเชียงใหม่ มีสวนผักคนเมือง มีเรื่องปลูกผักเลี้ยงคนทั้งเมือง

58:24

เราอาจจะต้องกลับมาคิดจริงจังเรื่องพวกนี้ในสภาวะตอนนี้

58:28

พูดง่ายๆ คือตอนโควิด บางประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงด้วยซ้ำ

58:33

แล้วก็มีการจัดการเศรษฐกิจแบบใหม่ๆ ที่เราคิดไม่ถึง มีการแจกอาหารฟรี

58:37

ซึ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ในชีวิตปกติปัจจุบัน เพราะมันจะทำลายเศรษฐกิจ

58:42

แต่คนเราก็อยู่รอดพ้นช่วงนั้นได้โดยจัดการเศรษฐกิจแบบใหม่ๆ แบบการแบ่งปัน แบบอะไรต่างๆ

58:47

แล้วก็อาจจะยกเลิกการแบ่งงานกันทำไปเลย

58:52

จริงๆ ข้อนี้ผมว่ามันค่อนข้างตอบโจทย์กับเด็กรุ่นใหม่ๆ เพราะเราทำงาน multitask กันอยู่แล้ว

58:58

ทำงานหลายๆ อย่างอยู่แล้ว ทำไมเราต้องหยุดแบ่งงานกันทำแบบทุนนิยม เพราะเราไม่ต้องการประสิทธิภาพขนาดนั้นแล้ว

59:06

อันหนึ่งที่คุณบอสพูดเรื่องปลูกพืชผักแล้วมีประสิทธิภาพ เพราะเขาแบ่งๆๆ เป็นส่วนๆ แล้วจัดการ

59:16

แต่คุณลองดูผักออร์แกนิคทำไมมันแพง เพราะมันมีต้นทุนที่เขาพยายามใส่รวมเข้ามาทั้งหมด

59:21

ในอนาคตคุณอาจจะต้องกินผักน้อยลงหรือเปล่า แต่ถ้าคุณลดอุตสาหกรรมปศุสัตว์ คุณอาจจะกินผักได้เพิ่มขึ้น นึกออกไหม

59:29

แต่มันจะเป็นผักคุณภาพดี แล้วก็ไม่มีใครต้องบริโภคล้นเกินอีกแล้ว

59:35

เราไม่ได้มุ่งเน้นว่าต้องกินให้เยอะๆ เพราะปัจจุบันเราต้องปลูกผักเยอะเพื่อให้เกิดกำไร

59:41

เราไม่ได้ปลูกผักเพื่อเลี้ยงคน แต่ปลูกเพื่อสร้างกำไร

59:45

เพราะงั้นก็เลยต้องบังคับให้คนกินเยอะๆ ถามว่าคนเราต้องกินมหาศาลขนาดนั้นหรือเปล่า ต้องกินเนื้อ A5 ทุกวันหรือเปล่า

59:51

ที่มันใช้น้ำมหาศาล อาจจะต้องกลับมาคิดถึงลักษณะการทำที่มันเป็น craftmanship มากขึ้น organic มากขึ้น

59:59

สุดท้ายมันต้อง force อะ เพราะมันอยู่ในจุดที่ไม่ใช่เรื่องของการปลดปล่อย แต่คือการปรับตัว เพื่อเข้าสู่ยุคใหม่

1:00:07

ซึ่งมันเป็นยุคของเราแล้ว มันไม่ใช่อนาคตของเด็กรุ่นใหม่อีกต่อไปแล้ว มันคือรุ่นเรา

1:00:12

ตอนผมอ่านตอนเด็กๆ อ่านเรื่องโลกร้อนของ Al Gore

1:00:22

ก็คิดว่ามันอีกนานเนอะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่นานแล้ว มันคือตอนนี้แล้ว

1:00:26

ก็ประมาณนั้น

1:00:26

บอส : ตอนแรกก็น่าจะประมาณนี้

1:00:30

เดี๋ยวขออนุญาตสรุปให้ ก็คือจะเห็นภาพรวมว่า หลักๆ แล้วจุดประสงค์เรา

1:00:36

จะมาเกริ่นนำน่ะแหละว่าเราจะพูดเรื่องอะไรบ้าง เดี๋ยวมันคงต้องใช้หลาย episode

1:00:42

คือมันมีหลักฐาน เราเห็นมาเยอะ ค่อนข้างอ่านมาเยอะ ก็จะเห็นหลักฐาน

1:00:49

แล้วมันไม่ใช่แค่เราคนเดียว แม้แต่นักวิทยาศาสตร์กระแสหลักก็ยังสร้างตัวชี้วัดเพื่อมาบอกว่าทุกอย่างมันวิกฤติหมดแล้ว

1:01:01

ประเด็นหลักๆ ที่เราพยายามยกขึ้นมาวันนี้มันเป็นโครงหลักที่โคเฮย์เสนอในหนังสือ

1:01:10

เรื่อง imperial mode of living เอย เรื่องการกระบวนการ shift เพื่ออนุญาตให้ GDP หรือทุนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เอย

1:01:19

หรือการ shift เป็นกลไกหลักที่ทำให้การเติบโตยังเกิดขึ้นได้ เป็นกลไกของทุนนิยม

1:01:25

ซึ่งมันขัดกับ natural cycle หรือ metabolism ของดาวเคราะห์

1:01:31

ช่วงสุดท้ายคือเราพยายาม layout ว่าทำไมต้อง degrowth และ communism

1:01:37

คือ degrowth อย่างเดียวก็จะฉิบหายเหมือนกัน เพราะ degrowth อย่างเดียว มันแย่แน่นอน มันจะกลายเป็น recession คุณภาพชีวิตคนส่วนใหญ่จะตก

1:01:45

เพราะฉะนั้นแค่หยุดเติบโตหรือโตให้น้อยลงไม่ได้ มันต้องเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม ชุดความคิดความเชื่อ สัญญาประชาคมไปเลย เรียกว่าอย่างนั้นก็ได้

1:01:55

อันนี้เป็นธีมหลักๆ ของพอดแคสต์เนี่ยแหละ

1:01:59

ปฐมพงศ์ : ผมลืมอันนึง เดี๋ยวผมพูดเร็วๆ สุดท้ายว่าประเด็นปัญหาของ Degrowth Communism

1:02:05

โคเฮย์เองก็พยายามจะตอบแต่ยังไม่ค่อยชัด คือเขาอยู่ในเซ็ตติงของญี่ปุ่นเนอะ เราอยู่ในเซ็ตติงประเทศไทย

1:02:13

ว่าแล้วมันมีผลอะไรต่อโลกที่สามล่ะ เพราะว่ามันจะถูกปรามาสตลอดเวลาว่ามันไม่เกิดพลังในการเปลี่ยนแปลง

1:02:18

เพราะมันเป็นเรื่องของพวกโลกคนรวย แต่สำหรับผมมันมีความเปลี่ยนแปลงมาก เพราะมันคือการมองใหม่เลย

1:02:26

ปัญหาที่โคเฮย์บอกก็คือจีนก็อยากจะเป็นโลกที่หนึ่ง อินเดียก็อยากเป็นโลกที่หนึ่ง ทุกคนพยายามจะโต

1:02:34

ถ้าเราจะ Degrowth Communism หมายความว่าเราต้องเลิกตั้งเป้าเป็นอเมริกาหรือเป็นประเทศพัฒนาแล้ว

1:02:41

แต่เราพยายามพูดถึงการมองอนาคตแบบใหม่ไปเลย ในเมื่อเราได้รับผลกระทบโดยตรง แล้วเรายังจะ shift ผลกระทบนี้ไปให้คนอื่นอีกเหรอ

1:02:51

เพื่อที่จะมุ่งไปสู่แบบนั้นเหรอ ไม่ใช่ มูฟเมนต์ของเราคือการอยู่แบบใหม่ เราเป็น new world

1:02:59

new vision แล้วว่าเราไม่ต้องโตแล้ว เราไม่ต้องเป็นแบบใคร เราก้าวไปแบบใหม่ได้ไหม

1:03:03

เหมือนวิถีชีวิตแบบใหม่ๆ ของคนในดีทรอยต์ ในตัวอย่างของโคเฮย์

1:03:09

เมืองเขาถูกทำลายผ่านอุตสาหกรรมรถยนต์แล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์พังแล้ว

1:03:12

เขาคิดถึงวิถีชีวิตแบบใหม่ๆ ได้ไหม สร้างสวนผักของคนเมือง อะไรต่างๆ พวกนี้มันกำลังเกิดขึ้น

1:03:17

และทั้งหมดนี้ไม่ใช่แบบเดิมที่จะปฏิวัติ ปุ้ง แต่เป็นเรื่องการขยาย basic communism

1:03:23

ก็คือชีวิตการแบ่งปันที่มันอยู่จำกัด ที่มันต้องมีอยู่แล้ว

1:03:30

เนี่ย ห้องอัดเสียงผมก็มาขอใช้ของเพื่อนที่รู้จักกัน

1:03:36

พวกนี้มันถูกขยายออกไปได้ไหม

1:03:40

ขยายแล้วก็พยายามมีโครงการที่เป็นรูปธรรม พยายามวางแผนเศรษฐกิจแบบประชาธิปไตยได้ไหม

1:03:47

ซึ่งคงต้องพูดในคราวต่อไปแล้วแหละ พูดมานานละ (หัวเราะ)

1:03:51

บอส : มันเป็นปัญหาเชิงเทคนิคด้วย แต่มันเป็นปัญหาการจินตนาการเชิงการเมืองมากกว่าด้วยซ้ำ

1:04:00

ปฐมพงศ์ : ก็ประมาณนี้ มันห้วนไปไหม หรือมีอะไรเสริมไหม

1:04:00

บอส : ก็โอเคนะ

1:04:05

แต่เราก็คงพยายามยกตัวอย่างกับระบบต่างๆ ที่เห็นในเมือง

1:04:05

ปฐมพงศ์ : ก็ประมาณนี้ มันห้วนไปไหม หรือมีอะไรเสริมไหม

1:04:05

บอส : ก็โอเคนะ

1:04:05

แต่เราก็คงพยายามยกตัวอย่างกับระบบต่างๆ ที่เห็นในเมือง

1:04:10

เพราะเราก็ถือว่าเป็นคนเมืองไปแล้ว แล้วก็น่าจะใกล้ตัวทุกคนมากกว่าด้วยเนอะ

1:04:16

ปฐมพงศ์ : เรื่องช่องทางติดต่อ ผมจะเขียนใน description ละกัน เพราะพูดเยอะละ

1:04:21

ก็น่าจะประมาณนี้เนาะ ก็ขอบคุณทุกคนที่รับฟังนะครับผม

1:04:21

บอส : ครับ